วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

CHAPTER 2 : E-BUSINESS INFRASTRUCTURE

LEARNING OUTCOMES
- Outline the hardware and software technologies used to build an e-business infrastructure within an organization and with its partners
- Outline the hardware and software requirements necessary to enable employee access to the Internet and hosting of e-commerce services.


TYPICAL PROBLEMS
- Web site communications too slow.
- Web site not available.
- Bugs on site through pages being unavailable or information typed in forms notbeing executed.
- Ordered products not delivered on time.
- E-mails not replied to.
- Customers’ privacy or trust is broken through security problems such as creditcards being stolen or addresses sold to other companies.


E-BUSINESS INFRASTRUCTURE

The architecture of hardware, software, content and data used to deliver e-business services to employees, customers and partners.

KEY MANAGEMENT ISSUES OF E-BUSINESS INFRASTRUCTURE




 HARDWARE AND SOFTWARE TECHNOLOGIES USED TO BUILD AN E-BUSINESS

WHAT IS THE INTERNET ?


“The Internet, sometimes called simply "the Net," is a worldwide system of computer networks - a network of networks in which users at any one computer can, if they have permission, get information from any other
computer” -whatis.com “A global network connecting millions of computers. More than 100
countries are linked into exchanges of data, news and opinions. -webopedia.com “is logically linked together by a globally unique address space based on the Internet Protocol (IP) or its subsequent extensions/follow-ons”-FNC



อินเทอร์เน็ต .......... ?
-อินเทอร์เน็ต (อังกฤษ: Internet) หมายถึง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ที่มีการ
เชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายหลาย ๆ เครือข่ายทั่วโลก โดยใช้ภาษาที่ใช้สื่อสารกันระหว่าง
คอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า โพรโทคอล (protocol) ผู้ใช้เครือข่ายนี้สามารถสื่อสารถึงกันได้
ในหลาย ๆ ทาง อาทิ อีเมล เว็บบอร์ด และสามารถสืบค้นข้อมูลและข่าวสารต่าง ๆ
รวมทั้งคัดลอกแฟ้มข้อมูลและโปรแกรมมาใช้ได้

HOW BIG IS THE INTERNET?
-Over 1 billion Internet users worldwide
-How big the infrastructure they accessing?
-Measured by number of servers
-Number of pages indexed by search engines

INTERNET USERS PER 100 INHABITANTS

Source: "Internet users per 100 inhabitants 2006-2013", International Telecommunications Union, Geneva, accessed 3 June 2013

INTERNET USERS BY LANGUAGE

Source: "Number of Internet Users by Language", Internet World Stats, Miniwatts Marketing Group, 31 May 2011. Retrieved 22 April 2012

WEBSITE CONTENT LANGUAGES

Source: "Usage of content languages for websites". W3Techs.com. Retrieved 26 April 2013.

THE NETCRAFT INDEX OF NUMBER OF SERVERS

Source: Netcraft Web Server Survey. http://news.netcraft.com/archives/web server survey.html. Netcraft, http://netcraft.com

Intranet : A private network within a single company using Internet standards to enable employees to share information

Extranet : Formed by extending an intranet beyond a company to customers, suppliers and collaborators


INTRANET AND EXTRANETTHE RELATIONSHIP BETWEEN INTRANETS, EXTRANETS AND THE INTERNETINTRANET AND EXTRANET


Intranet applications
- Used extensively for supporting sell-side e-commerce
- Also used for internal marketing communications
Extranet applications
- Used to provide online services which are restricted to business
customers

BUSINESS BENEFITS OF EXTRANET
-Information sharing
-Cost reduction
-Order processing and distribution
-Customer service

PREMIER DELL.


COMQUESTIONS ON EXTRANET?
-Are the levels of usage sufficient?
-Is it effective and efficient?
-Who has ownership of the extranet?
-What are the levels of service quality?
-Is the quality of information adequate?FIREWALLS
-A specialized software mounted on a separate server at the point where the company is connected to the Internet
-Use to protect information on the company

FIREWALLS
Firewall positions within the e-business infrastructure of the B2B company


INFORMATION EXCHANGE BETWEEN A WEB BROWSER AND WEB SERVER


WEB EVOLUTIONWEB



INTERNET TOOLS
- E-mail
- Instant messaging (IM) and Internet Relay Chat (IRC)
- Usenet newsgroups
- FTP file transfer
- Telnet
- Blogs
- RSS (Really Simple Syndication)
- World Wide Web
- IPTV
- BitTorrent



MANAGING E-BUSINESS INFRASTRUCTURE

- Layer II – Systems software
Standardization throughout
organization
- Layer III – Transport or network
Based on internal company network
- Laver IV – Storage
Based on company needs


DIFFERING USE OF APPLICATIONS AT LEVELS OF MANAGEMENT WITHIN COMPANIES



NEW ACCESS DEVICES

- Mobile access devices
- Wi-Fi mobile access
- Bluetooth
- Next-generation mobile services
- Interactive digital television

Mr. Chayaphat Phumchun 
Business Computer Department   Chiangmai Rajabhat University

วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

CHAPTER 3 : E-business strategy Business Computer Department

What is strategy?
• Defines how we will meet our objectives.
• Sets allocation of resources to meet goals.
• Selects preferred strategic options to compete within a market.
• Provides a long-term plan for the development of the organization.


What is e-Business strategy?

Strategy defines thefuture direction and actions of an organization or part of an organization. Johnson and Scholes (2006) define corporatestrategy


◦the direction and scope of an organization over the long-term: which achieves advantage for the organization
through its configuration of resources within a changing environment to meet the needs of markets and to fulfil
stakeholderexpectations.

E-business strategy :
Definition of the approach by which applications of internal and external electronic communications can support and influencecorporate strategy.Relationship between e-business strategy and other strategiesA generic strategy process model Dynamic e-business strategy model
Source: Adapted from description in Kalakota and Robinson (2000Elements of strategic
situation analysis for the e-businessElements of strategic objective setting for the e-business Elements of strategy definition for the e-businessElements of strategy
implementation for the e-business การนํากลยุทธไปปฏิบัติการควบคุมและประเมินผล


Relationship between e-business strategy and other strategies

A generic strategy process model 

Dynamic e-business strategy model  

Source: Adapted from description in Kalakota and Robinson (2000

Elements of strategic situation analysis for the e-business

Elements of strategic objective setting for the e-business

Elements of strategy definition for the e-business

Elements of strategy implementation for the e-business






Computer Department  Chiangmai Rajabhat University
Mr. Chayaphat Phumchun

CHAPTER 9 : E-Government




ประวัติความเป็นมา
-การก้าวไปสู่​​รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์และการให้บริการของภาครัฐเพือให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นกวาเดิมจะเห็นได้ว่าประเทศต่่าง ๆ ทัวโลกต่างก็ให้ความสําคัญกบการกัาวไปสู้่การเป็นรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์และมีการประกาศนโยบายในเรื่องนี้อย่างเป็นทางการตัวอย่างเช่น สหราชอาณาจักรประกาศวาภายในปีค่ 2005 ไม่ว่าจะเข้าจากที่รบริการของภาครัฐทุกอย่างจะทําผ่านสืออิเล็กทรอนิกส์ ในขณะที + สิงคโปร์เองก็ประกาศว่าภายในปี ค.ศ. 2001 เคาน์เตอร์บริการของรัฐ 100% จะเป็นการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ออสเตรเลียระบุว่ารัฐจะให้บริการที เหมาะสมผ่านสืออิเล็กทรอนิกส์อันหมายถึงผ่านทางอินเทอร์เน็ตภายในปี ค.ศ. 2001 ส่วนแคนาดามีเป้าหมายว่าบริการของรัฐทุกอยางจะเป็นแบบ่ออนไลน์ภายในปี ค.ศ.2004 ่่อนในปี ค.ศ. 2000 สําหรับเนเธอร์แลนด์มีเป้าหมายว่า 20%

หลักของรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์จะเป็นแบบ G2G G2B และ G2Cระบบต้องมีความมันคงปลอดภัยเพือแลกเปลียนข้อมูลระหว่างหน่่วยงานของรัฐประชาชนอุ่นใจในการรับบริการและชําระเงินค่าบริการธุรกิจก็สามารถดําเนินการค้าขายกบหนั่วยงานของรัฐด้วยอินเทอร์เน็ตเป็นสื่อทางอิเล็กทรอนิกส์ทีสําคัญในการให้บริการตามแนวทางรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์

B2C ภาคธุรกิจสู่ผู้บริโภค (ธุรกิจกับผู้บริโภค)
B2B ภาคธุรกิจสู่ภาคธุรกิจ (ธุรกิจต่อธุรกิจ)
G2G ภาครัฐสู่ภาครัฐด้วยกัน (รัฐบาลกับรัฐบาล)
G2C ภาครัฐสู่ประชาชน (รัฐบาลประชาชน)
G2B ภาครัฐสู่ภาคธุรกิจ (รัฐบาลธุรกิจ)
G2E (รัฐบาล Employee)

1. รัฐกบัประชาชน (G2C)
เป็นโดยที + บริการดังกล่าวประชาชนจะสามารถดําเนินธุรกรรมโดยผานเครือข่ายสารสนเทศของรัฐเช่นการชําระภาษีการจดทะเบียนการจ่ายค่าปรับการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนการมีปฏิสัมพันธ์ระหวางตัวแทนประชาชนกันที่ดําเนินการให้บริการข้อมูลผานเว็บไซต์ เป็นต้นโดยที การดําเนินการต่่าง ๆ นั้น
จะต้องเป็นการทํางานแบบออนไลน์และ Real Time มีการรับรองและการโต้ตอบที มีปฏิสัมพันธ์

2. รัฐกบัเอกชน (G2B)
 เป็นการให้บริการขภาคธุรกิจเอกชนโดยทีรัฐจะอํานวยความสะดวกต่อภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมให้สามารถแข่งขันกนโดยความเร็วสูงมีประสิทธิภาพและมีข้อมูลที + ถูกต้องอยางเป็นธรรมและโปร่่งใสเช่นการจดทะเบียนทางการค้าการลงทุนและการส่งเสริมการลงทุนการจัดซื 8 อจัดจ้างทาง
อิเล็กทรอนิกส์การส่งออกและนําเข้าการชําระภาษีและการช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก

3. รัฐกบัรัฐ (G2G)
 เป็นที่การติดต่อสื + อสารระหวางก่นโดยกระดาษและลายเซ็นต์ในระบบเดิมในระบบราชการเดิม จะมีการเปลี+ยนแปลงไปด้วยการใช้ระบบเครือข่ายสารสนเทศและลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์เป็นทางการเพื่อเพิ่มความเร็วในการดําเนินการ (เศรษฐกิจ Speed​​) นอกจากนั้นยังเป็นการบูรณาการการให้บริการระหวางหน่ ่ววยงานภาครัฐโดยการใช้การเชื่อมต่อโครงข่ายสารสนเทศเพื่อเอื่อให้เกิดการทํางานร่วมกัน(Collaboration) และการแลกเปลียนข้อมูลระหวางก่นั (รัฐบาลข้อมูล EXCHAN)ทั้งนี้รวมไปถึงการเชื่อมโยงกบรัฐบาลของต่างชาติและองค์กรปกครองท้องถิ่นอีกด้วยระบบงานต่าง ๆ ที่ ใช้ในเรืองนี้ ได้แก่ ระบบงานกลับสำนักงานต่าง ๆ ได้แก่  ระบบงานสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ระบบบัญชีและการเงินระบบจัดซื8อจัดจ้างด้วยอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้นอยางไรก่็ดี จะต้องมีกระบวนการในการลดแรงต่อต้าน
ของบุคลากรที้คุ้นเคยกบการทํางานในระบบเดิม

4. รัฐกบัข้าราชการและพนักงานของรัฐ (G2E)
 เป็นการให้บริการที + จําเป็นของพนักงานของรัฐ (Employee) กบรัฐบาลโดยที่จะสร้างระบบเพื่อช่วยให้เกิดเครื่องมือที่จําเป็นในการปฏิบัติงานและการดํารงชีวิตเช่นระบบสวัสดิการระบบที่ปรึกษาทางกฎหมายและข้อบังคับในการปฏิบัติราชการระบบการพัฒนาบุคลากรภาครัฐเป็นต้น

7. ตัวอยางโครงการ ค.ศ. 2002 สหรัฐอเมริกาซึ + งถือเป็นผู้นําด้านเทคโนโลยีเองก็กาหนดํ
เป้าหมายไว้ว่าจะให้บริการต่างๆและบริการด้านข้อมูลของภาครัฐผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ภายในปี ค.ศ. 2003 แต่ประเทศซึ่งจากกาหนดไว้ว่าในช่วงสิ้นปี ค.ศ. 2000 นี้ ประชาชนจะสามารถเข้าถึงบริการและเอกสารของรัฐได้ทางอิเล็กทรอนิกส์ คือประเทศฝรั้งเศส

สําหรับประเทศไทย ในเรื่องการบริหารและการบริการของรัฐแก่ประชาชนมีการ
กล่าวถึงตั้งแต่ในกฎหมายสูงสุดของประเทศคือรัฐธรรมนูญฯ ในมาตรา 78 หรือ
แผนสภาพัฒน์ฯ ฉบับที่ ระหว่างหน่วยงานของรัฐกบภาคเอกชนนอกจากนี้ในแผนไอทีแห่งชาติเองก็
ระบุวาหน่่วยงานของรัฐต้องลงทุนให้พร้อมด้วยไอทีและบุคลากรที่ มีศักยภาพในการใช้ไอทีในแผนปฏิรูประบบบริหารภาครัฐก็ได้กาหนดกํ ิจกรรมหนึ่งที่ทุกส่วนราชการต้องดําเนินการไว้ในแผนหลัก
เกี่ยวกบการปรับเปลี่ยนบทบาทภารกัิจและวิธีการบริหารของภาครัฐวาการพัฒนา่ให้มีระบบสารสนเทศของหน่วยงานกลางในภาครัฐ ตลอดจนนําเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ เหมาะสมมาใช้เพือเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานภาครัฐและการให้บริการแก่ประชาชนจะเห็นวาในระดับนโยบายนั่นมีการให้ความสําคัญในเรื่องนี้มาโดยตลอด

ความหมายรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์
รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์หรือรัฐอิเล็กทรอนิกส์ประกอบด้วยหลักการที่เป็นแนวทาง 4 ประการคือ
 1.สร้างบริการตามความต้องการของประชาชน
 2.ทําให้รัฐและการบริการของรัฐเข้าถึงได้มากขึ้น
 3.เกิดประโยชน์แก่สังคมโดยทัวกัน
 4.มีการใช้สารสนเทศที่ดีกวาเดิม

CHAPTER 8 : e - Procurement

ระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์(e – procurement)
เป็นระบบสารสนเทศที่สนับสนุนการให้บริการที่เกี่ยวข้องในกิจกรรมการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ เช่น
การตกลงราคา การสอบราคา การประกวดราคา และการจัดซื้อรวมแบบออนไลน์ รวมถึงการลง
ทะเบียนบริษัทผู้ค้า การทำ e – Catalog และการทำงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการจัดซื้อที่เป็น
Web Based Application เพื่อทำให้ระบบการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
กล่าวคือ ใช้ระยะเวลาจัดหาพัสดุน้อยลง และได้พัสดุที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม รวมทั้งเพิ่มความ
โปร่งใสของกระบวนการจัดหาและสามารถติดตามตรวจสอบกระบวนการทำงานได้

• ระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (e-Procurement) เป็นระบบสารสนเทศที่สนับสนุน
การให้บริการที่เกี่ยวข้องในกิจกรรมการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ เพื่อทำให้ระบบการจัดซื้อจัดจ้างของ
ภาครัฐ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น กล่าวคือ ใ ช้ระยะเวลาจัดหาพัสดุน้อยลง และได้พัสดุที่มีคุณภาพ ใ น
ราคาที่เหมาะสม รวมทั้งเพิ่มความโปร ่งใสของกระบวนการจัดหาและสามารถติดตามตรวจสอบ
กระบวนการทำงาน

•e-Procurement หมายถึง การทำงานในแต่ละขั้นตอนของระบบ ข้อมูลจะถูกจัดส่งและจัดเก็บไปในรูป
แบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งข้อมูลเหล่านี้พร้อมที่จะถูกนำไปวิเคราะห์ต่อไป โ ดยข้อมูลครอบคลุม
ตั้งแต่การค้นหาและเลือกสินค้าจาก e-Catalog การออกใบขอสั่งซื้อ การรับและการอนุมัติใบขอสั่งซื้อ
การออกใบสั่งซื้อ การติดตามการสั่งซื้อ การตรวจรับสินค้าและการชาระเงิน

•การพัฒนาระบบ e-Procurement ของการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐในประเทศไทย ควรเป็นไปเพื่อหนุน
เสริมการปฏิรูประบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐโดยรวมวัตถุประสงค์ในการพัฒนาระบบ e-Procurement ในประเทศไทย
• ความมีประสิทธิภาพ (Efficiency) จากการจัดซื้อสินค้าหรือบริการได้ตรง กับความต้องการ
ของผู้ใช้
• ความพร้อมรับผิด (Accountability) และการสร้างระบบธรรมาภิบาล(Good
Governance) โ ดยเจ้า หน้าที่ผู้รับผิดชอบระบบจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐควรต้องมี ความ
พร้อมรับผิดต่อการตัดสินใจของตน
• ความโปร่งใส (Transparency) โ ดยกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างต้องเป็นกระบวนการที่เปิด
เผยต่อสาธารณะ
• ความคุ้มค่า (Value for Money) เพื่อลดปัญหาการที่หน่วยงานรัฐมักซื้อสินค้าหรือบริการ
ในราคาที่แพงกว่าของภาคเอกชน ความมุ่งหมาย ของ e-Procurement ในประเทศไทย
•ลดการรั่วไหลในระบบการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งจะนำไปสู่การลดค่าใช้จ่ายของ ภาครัฐ และส่ง
เสริมความโปร่งใสและธรรมาภิบาล ในการบริหารราชการแผ่นดิน
• ช่วยภาครัฐในการพัฒนาระบบการจัดซื้อจัดจ้างที่มุ่งไปสู่ระบบที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นโดยลด
ทรัพยากรที่ต้องใช้ไปกับการจัดซื้อจัดจ้างประโยชน์ของการพัฒนาระบบ e-Procurement
• เอกสารการยื่นประกวดราคา คำชี้แจงและคำอธิบายและข้อมูลการตัดสิน ผลการประกวดราคาของโครงการต่าง ๆ ที่ผ่านการคัดเลือก
ไปแล้วมีความชัดเจนและครบถ้วนสมบูรณ์
•การกระจายข้อมูล (Distribution) ไ ปยังผู้ที่เกี่ยวข้องฝ่ายต่าง ๆโ ดยเฉพาะ ผู้ค้าที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการดังกล่าวซึ่งอาจใช้วิธีการต่าง ๆ เช่น การส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องไปยังผู้ค้าโดยไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail) ให้มีความรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์
•การยื่นประกวดราคาผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Bid Submission) ซึ่งต้องมีการออกแบบตู้รับเอกสารอิเล็กทรอนิกส์(Electronic Vault) ที่มีความปลอดภัย ไ ม่สามารถเปิดได้ก่อนเวลาที่กำหนด อันเป็นกระบวนการที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ ทุกขั้นตอน
•การเพิ่มความสามารถของระบบให้สูงขึ้น เพื่อให้เกิดบริการมูลค่าเพิ่ม (Value Added Service) ต่าง ๆ เช่น บริการสนับสนุนผู้ค้า(Supplier Support System) ต่าง ๆ เช่น ระบบสนับสนุนการ จัดทำเอกสารประกวดราคา ระบบการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ การบริหารห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) ที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้าง
•การเพิ่มความสามารถของระบบให้สูงขึ้น เพื่อให้เกิดบริการมูลค่าเพิ่ม (Value Added Service) ต่าง ๆ เช่น บริการสนับสนุนผู้ค้า(Supplier Support System) ต่าง ๆ เช่น ระบบสนับสนุนการ จัดทำเอกสารประกวดราคา ระบบการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ การบริหารห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) ที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างการพัฒนาระบบ e-Catalog จะมีผลให้สินค้าและบริการในอนาคต ที่ส่วนราชการจัดหามีคุณภาพที่ดีในราคาที่เหมาะสมมากยิ่งขึ้น รวมทั้ง มีทางเลือกในการพิจารณาจัดหาพัสดุได้มากยิ่งขึ้น ขั้นตอนของระบบ e-Procurement
•ค้นหาสินค้า/บริการที่จะซื้อผ่าน E-Catalog
•เลือกหมวดสินค้าที่ต้องการจะซื้อผ่าน E-Shopping List
•จัดประกาศเชิญชวนผ่าน Web-Site
•ผู้ขายเสนอคุณสมบัติของสินค้าทางอินเตอร์เน็ต (E-RFP)
•ผู้ซื้อตรวจสอบราคากลาง (E-RFQ) และ Track Record ของผู้ขาย
•ประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-Auction)
•ประกาศผล ผู้ชนะและส่งมอบ/ตรวจรับพัสดุ
•จ่ายเงินตรงด้วยระบบ E-Paymentระบบ e–Catalog
•เป็นมาตรฐานระบบ Catalog ที่รวบรวมรายละเอียดของสินค้าและบริการ ซึ่ง
อำนวยความสะดวกให้ผู้ค้า/ผู้รับจ้าง(Supplies) ที่มีคุณสมบัติทำธุรกรรม
สามารถเข้ามา ทำการแจ้งและปรับปรุงรายการสินค้า/บริการของตนเองได้ การ
จัดการ Catalog ของผู้ค้า/ผู้รับจ้าง จะดำเนินการผ่านระบบมาตรฐานกลางโดย
สามารถ Login เข้าสู่ระบบการจัดซื้อจัดจ้างทางอิเล็กทรอนิกส์ของภาครัฐเพื่อ
ปรับปรุงรายการสินค้า/บริการเพื่อให้
•ส่วนราชการสามารถเข้าสู่ระบบเพื่อค้นหาข้อมูลและพิจารณาสั่งซื้อจากสินค้า/
บริการจาก e-Catalog ได้ตลอดเวลาระบบ e-RFP (Request for Proposal)และ e-RFQ (Request for Quotationเป็นระบบที่อำนวยความสะดวกในขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างทางอิเล็กทรอนิกส์โดยวิธีสอบราคาหรือวิธีตกลงราคา
•ค้นหาข้อมูลผู้ขาย/ผู้รับจ้างและข้อมูลคุณลักษณะเฉพาะของสินค้า/บริการ (Specification) ของผู้ค้า/ผู้รับ
จ้างที่มาลงทะเบียนไว้
• แจ้งผู้ค้า/ผู้รับจ้างที่ได้รับการคัดเลือกในขั้นต้นโดยเป็นการแจ้งผ่านระบบไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
• การยื่นข้อเสนอ (Quotation/Proposal) ของผู้ค้า/ผู้รับจ้าง
• การคัดเลือกผู้ค้า/ผู้รับจ้างเพื่อรับงานซื้อ/จ้างจากหน่วยงานภาครัฐ
• การจัดทำใบขอซื้อ/ขอจ้าง รวมทั้งขั้นตอนการอนุมัติต่างๆระบบ e– Auction

ส่วนที่ 1 Reverse Auction  เป็นระบบที่อำนวยความสะดวกในด้านการประมูลซื้อให้ได้ในราคาต่ำสุด ซึ่งจะใช้วิธีนี้ในกรณีที่สินค้า/บริการที่ต้องการจัดซื้อหรือจัดจ้าง e-RFP / e-RFQ มาดำเนินการประมูลผ่านทาง Internet แบบ Real-time ตามวันและเวลาที่กำหนด โดยการประมูลจะมี 2 แบบ คือ

• English Reverse Auction เป็นการประมูลที่ผู้ซื้อจะทราบสถานะของ การประมูลว่าผู้ที่เสนอราคาต่ำสุด เสนอราคาเท่าไร แต่ผู้เข้าประมูลจะ
ไม่ทราบชื่อของผู้เข้าประมูลรายอื่น ๆ

• Sealed Bid เป็นการประมูลที่ผู้ซื้อจะไม่ทราบสถานะของการประมูลและ ราคาต่ำสุดของผู้ยื่นประมูล การยื่นข้อเสนอราคาแบบ Sealed
Bidแบ่งเป็น 2 แบบ คือ แบบยื่นข้อเสนอได้เพียงครั้งเดียว และยื่นข้อเสนอได้หลายครั้งภายในระยะเวลาที่กำหนด

ส่วนที่ 2 Forward Auction  เป็นระบบที่อำนวยความสะดวกในด้านการประมูลขาย ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้กับการจำหน่ายพัสดุที่หมดความ
จำเป็นของหน่วยงาน ภาครัฐโดยวิธีขายทอดตลาด ซึ่งเป็นการประมูลขายแบบผู้ชนะ คือ ผู้ที่เสนอราคาสูงสุด

ระบบ e-Data Exchange
•เปนระบบการเชอมโยงขอมลทเกยวของกบผคา เชน
•การตรวจสอบความเปนนตบคคล โดยรวมมอกบกรมทะเบยนการคาและกรมสรรพกร,
•การสงขอมลในการตรวจสอบจนวนเงนงบประมาณทไดรบการจดสรรจากสนกงบประมาณ แผนการใช้จายเงน ( Cash Management ) และการสงจายเงน (Direct Payment) ของกรมบญชกลาง
การสงขอมลตรวจสอบการเสยภาษของผคาและผรบจาง โดยสงขอมลสญญาใหกรมสรรพากร และสนกงานการตรวจเงินแผ่นดิน
•การประกาศเชญชวนผคาผาน Website หนวยงานกลางทเกยวของไดแก กรมบญช
กลาง กรมประชาสมพนธ และองคการสอสารมวลชนแหงประเทศไทย

e-Market Place
ตลาดกลางรวบรวมสินค้าและร้านค้าหรือบริษัท จำนวนมากเพื่อเป็นสื่อกลาง
ในการซื้อE-Marketplace -ขายสินค้าระหว่าE-Marketplace

ข้อดีของ e-procurement ในด้านของผู้ขาย
•เพิ่มปริมาณการขาย
•ขยายตลาด และได้รับลูกค้ากลุ่มใหม่
•- ดำเนินการบริหารการขาย และกิจกรรมทางการตลาดในต้นทุนต่ำ
•- เวลาของกระบวนการสั้นลง
•- พัฒนาให้พนักงานมีประสิทธิภาพดีขึ้น
•- กระบวนการประมูลเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

ข้อดีของ e-Procurement
จะช่วยให้องค์กรสามารถลดงานที่ไม่ก่อให้เกิดคุณค่ากับองค์กรลง และทาให้ฝ่ายจัดซื้อมีเวลา
วางแผนในส่วนของการจัดซื้อเชิงกลยุทธ์ (Strategic sourcing) ซึ่งเป็นหน้าที่ที่สำคัญมากขึ้น

CHAPTER 7 : Electronic Supply Chain Management

       นับตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ การด าเนินธุรกิจต่างๆ เกือบทุกสาขาได้หยุดชะงัก
หรือชะลอตัวลงหรือแม้กระทั่งปิดกิจการไป เนื่องจากกิจการส่วนใหญ่ประสบ
ปัญหาการขาดสภาพคล่องทางการเงิน ยอดขายลดลง ท าให้มีสินค้าคงเหลืออยู่
เป็นจ านวนมาก ต้นทุนการผลิตปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่
เปลี่ยนแปลงไปท าให้ผู้ผลิตจ าเป็นต้องหันมาพัฒนาผลิตภัณฑ์และก าหนดกลยุทธ์
ต่างๆ เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าและการแข่งขัน


การใช้กลยุทธ์เดิมๆ คือ การเร่งพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์และบริการให้มีความโดด
เด่นและใช้กลยุทธ์ด้านราคาด้วยการลดต้นทุนและตัดค่าใช้จ่ายลง แต่องค์กรทุกอง
กรค์ต่างใช้กลยุทธ์ที่ไม่แตกต่างกันจนกระทั่งไม่ได้เกิดความได้เปรียบหรือ
เสียเปรียบกันมากนัก แต่ในปัจจุบันมีแนวความคิดที่ก าลังได้รับความสนใจและให้
ความส าคัญกันมากคือ การบริหารซัพพลายเชน
(Supply Chain Management : SCM)


ร ะบบที่ จั ด ก า ร ก า รบ ริห า ร แ ล ะเ ชื่ อ มโ ย ง เ ค รื อ ข่ า ย ตั้ ง แ ต่ suppliers,
manufacturers, distributors เพื่อส่งมอบสินค้าหรือบริการให้ลูกค้าโดยมีการ
เชื่อมโยงระบบข้อมูล วัตถุดิบ สินค้าและบริการ เงินทุน รวมถึงการส่งมอบเข้า
ด้วยกัน เพื่อให้การส่งมอบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถส่งมอบได้ตรง
ตามเวลาและความต้องการ


The Benefits of supply chain management

Supply Chain Management

Supply Chain Management


Supply Chain for Denim Jeans 


Supply Chain for Denim Jeans  (cont.)

ขั้นตอนวิวัฒนาการไปสู่ระบบการจัดการซัพพลายเชน
การก าเนิดระบบการบริหารซัพพลายเชนกล่าวกันว่ามีต้นแบบมาจากการส่ง
ล าเลียงเสบียงอาหารและอาวุธยุโธปกรณ์ตามระบบส่งก าลังบ ารุงของทหาร 
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสงครามที่ต้องการความมั่นใจว่าอาวุธและเสบียงอาหาร
จะต้องจัดส่งให้เพียงพอกับความต้องการและไปยังสถานที่ที่ก าหนดอย่างถูกต้อง
ตรงเวลา เพื่อให้เกิดความสูญเสียน้อยที่สุด จึงจ าเป็นต้องอาศัยการวางแผน
จัดล าดับก่อนหลังและรักษาประสิทธิภาพในการสื่อสารที่รวดเร็วและแม่นยำ

ขั้นตอนวิวัฒนาการไปสู่ระบบการจัดการซัพพลายเชน (ต่อ)
ซึ่งต่อมาแนวความคิดดังกล่าวได้น ามาพัฒนาและดัดแปลงให้กับธุรกิจการค้าและ
อุตสาหกรรมเพื่อมุ่งสร้างคุณค่าและความพึงพอใจแก่ลูกค้าด้วยต้นทุนที่ลดลง โดย 
Helen Peek และคณะได้กล่าวถึงระยะของการเปลี่ยนแปลงธุรกิจเพื่อเข้าสู่
กระบวนบริหารซัพพลายเชน 4 ระยะ คือ

ระยะที่ 1 องค์กรในรูปแบบพื้นฐาน 
(The Baseline Organization)
เป็นรูปแบบการบริหารจัดการแบบดั้งเดิมที่ต้องการสร้างผลก าไรสูงสุดขององค์กร 
โดยเน้นความช านาญในการท างานของแต่ละแผนก/ฝ่ายซึ่งองค์กรในรูปแบบนี้
อาจไม่สามารถปรับแผนการผลิตและการจัดหาวัตถุดิบได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง
ในตลาดของผู้บริโภคเนื่องจากแต่ละแผนก/ฝ่ายต่างท างานเป็นอิสระต่อกันไม่
เกี่ยวกัน

ระยะที่ 2 องค์กรที่รวมหน้าที่ทางธุรกิจเข้าด้วยกัน 
(The Functionally Integrated Company)
ในระยะนี้องค์กรจะเริ่มจัดตั้งเป็นบริษัท โดยในองค์กรได้มีการรวบรวมหน้าที่/
ลักษณะงานที่เป็นประเภทเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันไว้ในกลุ่มงาน/ฝ่ายเดียวกัน 
ซึ่งจะไม่มีแบ่งแยกหน้าที่ความรับผิดชอบออกจากันอย่างเด็ดขาดเหมือนระยะแรก 
เช่น ฝ่ายจัดการวัตถุดิบมีหน้าที่จัดซื้อ จัดสรร ควบคุมการใช้วัตถุดิบและปัจจัย
การผลิตอื่นๆ ฝ่ายการผลิตมีหน้าที่วางแผนการผลิต และควบคุมคุณภาพการผลิต 
และฝ่ายขายมีหน้าที่วางแผนการตลาดและขายสินค้า เป็นต้น

ระยะที่ 3 องค์กรที่รวมการด าเนินงานภายในธุรกิจไว้ด้วยกัน 
(The Internally Integrated Company)
ในระยะนี้องค์กรมีการพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างองค์กรของตนอย่างต่อเนื่อง
จากระยะที่ 2 โดยฝ่ายต่างๆ มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันท าให้มีการติดต่อ
ประสานงานเชื่อมโนงระหว่างฝ่ายงานมากขึ้น การท างานจึงมีความต่อเนื่องกัน
เหมือนห่วงโซ่ นอกจากนั้นกิจกรรมการผลิตบางอย่างยังสามารถที่จะใช้ทรัพยากร
ร่วมกันภายในองค์กรได้ด้วย ซึ่งเป็นการช่วยลดต้นทุนการผลิตได้ในระดับหนึ่ง 
เช่น ฝ่ายผลิตกับฝ่ายขายอาจต้องมีการออกส ารวจความต้องการของผู้บริโภคไป
พร้อมๆ กัน เพื่อให้ได้รับรู้ถึงพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคว่าขณะนี้มี
ความต้องการสินค้าประเภทใด ลักษณะใด เพื่อที่จะได้มีการวางแผนการผลิต
เพื่อให้เกิดความพึงพอใจสูงสุดแก่ผู้บริโภค

ระยะที่ 4 องค์กรที่รวมการด าเนินงานภายนอกธุรกิจไว้ด้วยกัน 
(The Externally Integrated Company)
ระยะนี้เป็นระยะที่บริษัทก้าวเข้าสู่รูปแบบการบริหารแบบซัพพลายเชนอย่างเต็ม
ตัว โดยบริษัทได้ปรับโครงสร้างการบริหารแบบซัพพลายเชนภายในบริษัทของ
ตนเองไว้เรียบร้อยแล้ว และเริ่มหันมาให้ความส าคัญกับกลยุทธ์การบริหารลูกโซ่
อุปทานภายนอก โดยเข้าไปท างานร่วมกับซัพพลายเออร์ในลักษณะที่เป็น
เครือข่ายการท างานเดียวกัน เพื่อควบคุมคุณภาพการผลิตวัตถุดิบ คุณลักษณะ
ของวัตถุดิบและวิธีการผลิตวัตถุดิบในโรงงานของซัพพลายเออร์ และ ในบางกรณี
บริษัทผู้ผลิตอาจเปิดโอกาสซัพพลายเออร์เข้ามาเปิดสถานี หรือโรงงานย่อย เพื่อ
น าส่งวัตถุดิบให้กับริษัทได้อย่างสะดวก รวดเร็วและประหยัดต้นทุน

การบริหารจัดการซัพพลายเชน

เป็นการจัดการที่ต้องอาศัยความร่วมมือของคู่ค้าที่เกี่ยวข้องในซัพพลาย
เชนเราเป็นส าคัญ องค์กรที่มีความรู้ในการบริหารจัดการดีควรต้องถ่ายทอด
แนวคิดและวิธีการปรับปรุงระบบงานและการประสานงานระหว่างองค์กรให้แก่
องค์กรอื่นๆ ในซัพพลายเชน การพัฒนาศักยภาพของซัพพลายเชนนั้น นอกจาก
ระบบการประสานงานที่ดีภายในองค์กรแต่ละองค์กรแล้ว จะต้องพิจารณา
ความสามารถในการประสานระบบงานระหว่างองค์กรใน 3 ส่วนหลัก ได้แก่


1.เพื่อให้ระบบปฏิบัติการโดยรวมมีต้นทุนต่ าที่สุด มีระบบโลจิสติกส์ในการ
ส่งผ่านวัตถุดิบ ผลิต และส่งมอบสินค้าที่มีประสิทธิภาพและสามารถใช้
ประสิทธิภาพของระบบโลจิสติกส์ในการแข่งขันเชิงรุกเพื่อสร้างสรรค์ระบบการส่ง
มอบสินค้าที่รวดเร็ว ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น

2. ศักยภาพในการประสานระบบการจัดการให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า
(Demand-management interface capabilities)
เป็นระบบการบริหารจัดการเพื่อการให้บริการที่มีคุณภาพและการสร้างความพึง พอใจให้กับลูกค้า ทั้งก่อน ระหว่าง และภายหลังการขาย เพื่อสร้างความได้เปรียบเพิ่มขึ้น
ในเชิงการแข่งขัน คุณภาพโลจิสติกส์ที่ต้องการคือ ความรวดเร็ว การมีสินค้าพร้อม
จำหน่ายเมื่อลูกค้าต้องการ การส่งมอบสินค้าที่สมบูรณ์สอดคล้องตามความต้องการของ
ลูกค้าและการมีระบบสื่อสารที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องหรือสอบถามและ
ร้องเรียนกับทางบริษัทได้สะดวก ศักยภาพในการบริการยังหมายถึง ความสามารถในการ ให้บริการที่ยืดหยุ่นมากขึ้นในแง่ของการเปลี่ยนแปลงค าสั่งซื้อในเรื่องของปริมาร สถานที่ ชนิด ได้ในระยะเวลากระชั้นมากขึ้น ตลอดจนความสามารถในการผลิตและส่งมอบสินค้า ในปริมาณมากด้วยความรวดเร็วได้เมื่อเกิดความต้องการสินค้าแบบไม่คาดหมายขึ้น

3. ศักยภาพในการประสานระบบการจัดการสารสนเทศ(Information management capabilities)
ระบบสื่อสารระหว่างองค์กรในซัพพลายเชนมีความส าคัญอย่างยิ่ง ก่อนที่บริษัทข้าม ชาติจะเริ่มต้นประกอบการในประเทศต่างๆ จะต้องมีการวางโครงสร้างพื้นฐานทาง IT พิจารณาวางแผนกับปัญหาในเรื่องการประสานข้อมูลต่างๆ ทั้งในระบบองค์กรและระหว่าง
องค์กรโดยพัฒนาร่วมกันไปพร้อมๆ กับการวางกลยุทธ์ ระบบสื่อสารที่ดีท าให้เกิดความ
รวดเร็วและประหยัดต้นทุนในการด าเนินงานได้มาก เมื่อเริ่มต้นประกอบการแล้วจึงมัก
ได้เปรียบคู่แข่งในท้องถิ่นเสมอ ประเด็นที่ต้องพิจารณาในการพัฒนาระบบการสื่อสารได้แก่ 
ระดับเทคโนโลยี เช่น hardware, software การออกแบบและระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 
ระดับการใช้ประโยชน์ในข้อมูลร่วมกัน ข้อมูลในระดับปฏิบัติการ ข้อมูลด้านยุทธ์ศาสตร์ 
ข้อมูลทางการเงิน หรือข้อมูลในระดับเทคนิค และความสามารถในการเชื่อมต่อของระบบ 
เช่น ความรวดเร็วในการส่งผ่านข้อมูล ความรวดเร็วในการด าเนินการเมื่อได้รับข้อมูล และ
การจัดวางรูปแบบข้อมูลที่สามารถน าไปใช้งานต่อเนื่องได้ทันที


ปัญหาของการจัดการซัพพลายเชน
การจัดการซัพพลายเชนให้ประสบความส าเร็จเป็นสิ่งที่ทุกองค์กรต้องการ อย่างไรก็ตาม
ในบางครั้งการจัดการซัพพลายเชนอาจจะมีปัญหาเกิดขึ้น ซึ่งสามารถจ าแนกได้ดังนี้
1. ปัญหาจากการพยากรณ์ การพยากรณ์ความต้องการสินค้าเป็นสิ่งที่ส าคัญมากในการจัดการซัพ
พลายเชน ซึ่งการพยากรณ์ที่ผิดพลาดมีส่วนส าคัญที่ท าให้การวางแผนการผลิตผิดพลาด และ
อาจจะท าให้ผู้ผลิตมีสินค้าไม่เพียงพอกับความต้องการของลูกค้าที่เกิดขึ้น
2. ปัญหาในกระบวนการผลิต ปัญหาที่เกิดจากกระบวนการผลิตอาจจะท าให้ไม่สามารถผลิตสินค้า
ได้ตามเวลาที่ก าหนดไว้ เช่น เครื่องจักรเสียท าให้ต้องเสียเวลาส่วนหนึ่งในการซ่อมและปรับตั้ง
เครื่องจักร
3. ปัญหาด้านคุณภาพ ปัญหาด้านคุณภาพอาจจะส่งผลให้กระบวนการผลิตต้องหยุดชะงัก และท า
ให้ไม่สามารถส่งมอบสินค้าให้แก่ลูกค้าได้ตามที่ก าหนดไว้ นอกจากนั้นระบบการขนส่งที่ไม่มี
คุณภาพสามารถส่งผลกระทบต่อผู้ที่อยู่ในโซ่อุปทานได้เช่นกัน
4. ปัญหาในการส่งมอบสินค้า การส่งมอบที่ล่าช้าเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เรื่องของวัตถุดิบ งานระหว่างท า 
และสินค้าส าเร็จรูป เช่น ซัพพลายเออร์ส่งมอบวัตถุดิบล่าช้า ท าให้ผู้ผลิตไม่สามารถผลิตสินค้าได้
ตามตารางการผลิตที่ก าหนดไว้ นอกจากนั้น ในระหว่างกระบวนการผลิต การส่งต่องานระหว่างท า
ที่ล่าช้าตามไปด้วยในกรณีที่ไม่สามารถปรับตารางการผลิตได้ทัน ยิ่งไปกว่านั้น การส่งมอบสินค้า
ส าเร็จรูปให้ลูกค้าล่าช้าจะส่งผลกระทบต่อระดับการให้บริการลูกค้าและความสามารถในการ
แข่งขันของกิจการ 
5. ปัญหาด้านสารสนเทศ สารสนเทศที่ผิดพลาดมีผลกระทบต่อการจัดการโซ่อุปทาน ซึ่งท าให้การ
ผลิตและการส่งมอบสินค้าผิดไปจากที่ก าหนดไว้ ความผิดพลาดในสารสนเทศที่เกิดขึ้นมีหลาย
ประการ เช่น ความผิดพลาดในการสั่งซื้อวัตถุดิบ การก าหนดตารางการผลิต การควบคุมสินค้าคง
คลัง การขนส่ง ฯลฯ
6. ปัญหาจากลูกค้า ปัญหาที่เกิดจากลูกค้าเป็นความไม่แน่นอนอย่างหนึ่งของโซ่อุปทาน เช่น 
ลูกค้ายกเลิกค าสั่ง ในบางครั้งผู้ผลิตได้ท าการผลิตสินค้าไปแล้วส่วนหนึ่ง แต่ได้รับการยกเลิกค า
สั่งซื้อจากลูกค้าในเวลาต่อมา จึงท าให้เกิดต้นทุนในการเก็บรักษาสินค้าคงคลังส่วนนั้นไว


ตัวอย่างปัญหาของการจัดการโซ่อุปทานที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน Bullwhip Effectคือปัญหาที่เกิดจากความแปรปรวนเล็กน้อยของความต้องการถูกน ามาขยาย เมื่อส่งข้อมูลกลับต้นทาง

เทคโนโลยีสารสนเทศในซัพพลายเชน
เทคโนโลยีช่วยในการจัดการซัพพลายเชน การจัดระบบซัพพลายเชนให้มี ประสิทธิภาพนั้น กล่าวกันว่ามีองค์ประกอบที่ส าคัญไม่ว่าจะเป็นการจัดการในเรื่องความ
ต้องการของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ (Demand management) ให้ ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด โดยด าเนินการต่อเนื่องตั้งแต่หน่วยที่เป็นต้นทางวัตถุดิบถึงขั้น
สุดท้ายของกระบวนการจัดการระบบซัพพลายเชน การจัดหาสินค้าและผลิตภัณฑ์เพื่อ
ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ และความสามารถ ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ขาดตลาดและที่ส าคัญไปกว่านั้น 
คือการน าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี (Technology) โดยเฉพาะทางด้านไอที ฮาร์แวร์ 
และซอฟแวร์ มาเป็นเครื่องมือช่วยในการจัดการให้ระบบซัพพลายเชนมีความต่อเนื่องไม่
ติดขัด ด้วยการน าระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาเชื่อมต่อกัน ก่อให้เกิดความสะดวกรวดเร็ว
และถูกต้องในการจัดเก็บและส่งข้อมูลไปยังหน่วยงานต่างๆ ในระบบห่วงโซ่อุปทาน โดย
ปัจจุบันเทคโนโลยีที่นิยมใช้ในระบบซัพพลายเชนได้แก่

ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ (e-Business)
ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ (e-Business) หรือในบางครั้งเรียกว่า พาณิชย์
อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) เป็นการใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ใน
กระบวนการทางธุรกิจและการด าเนินงานระหว่างธุรกิจกับธุรกิจและระหว่าง
บุคคลกับธุรกิจ ในธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ (e-Business) จะมีการท าธุรกรรมผ่านสื่อ
ต่างๆ ทางอิเล็กส์ทรอนิกส์ เช่น การสั่งซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ต การโอนเงินทาง
อิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ

ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ (e-Business)
ธุรกิจที่อยู่ในโซ่อุปทานส่วนใหญ่จะมีการด าเนินธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์กับซัพพลายเออร์และ
ลูกค้าประโยชน์ที่ได้รับจากการท าธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์มีหลายประการ เช่น 
เกิดการประหยัดต้นทุน เนื่องจากมีการใช้เทคโนโลยี แทนแรงงานคน ซึ่ง
ท าให้ราคาของสินค้าลดลง
ลดการใช้คนกลางในการด าเนินธุรกิจ เช่น ผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก ผู้ให้บริการ 
ฯลฯ
ลดกิจกรรมที่ไม่จ าเป็นระหว่างโซ่อุปทานท าให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จาก
สารสนเทศมากขึ้น

การใช้บาร์โค้ด (Barcode)
บาร์โค้ดหรือรหัสแท่ง เป็นสัญลักษณ์ที่อยู่ในรูปของแท่งบาร์ โดยจะประกอบไป ด้วยบาร์ที่มีสีเข้มและช่องว่างสีอ่อน ซึ่งบาร์เหล่านี้จะเป็นตัวแทนของตัวเลขและตัวอักษร 
สามารถอ่านได้ด้วยเครื่อง Scanner บาร์โค้ดจึงท าหน้าที่ในการจัดเก็บข้อมูลต่างๆ ของ สินค้า อาทิ หมายเลขของสินค้า ครั้งที่ท าการผลิต เลขหมายเรียงล าดับกล่องเพื่อการ
ขนส่ง ปริมาณสินค้าที่ผลิต รวมถึงต าแหน่งผู้รับสินค้า เป็นต้น เพื่อให้สามารถควบคุม การหมุนเวียนของสินค้าโดยรวดเร็วขึ้นไม่ว่าจะเป็นการรับ การจัดเก็บและการจ่ายสินค้า
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นับว่ามีประโยชน์อย่างมากในปัจจุบันและที่ส าคัญการติดบาร์โค้ด
ถือเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้เกิดการจัดการซัพพลายเชน ลดระยะเวลาและความ ซ้ าซ้อนในการท างาน
ปัจจุบันรหัสสากร (EAN Thailand) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็น
สถาบันที่ควบคุม ดูแลและส่งเสริมการใช้ระบบมาตรฐาน ECC : UCC (ย่อมาจาก 
European Article Number : Uniform Code Council) การใช้บาร์โค้ด (Barcode)
ในประเทศไทย ซึ่งมาตรฐานดังกล่าวถือเป็นมาตรฐานสากลที่ทุก
อุตสาหกรรมของนานาประเทศนิยมใช้กัน โดยหมายเลขบาร์โค้ดจะไม่ซ้ าซ้อนกัน 
เพื่อให้สามารถอ้างอิงกลับมายังสินค้าหรือบริการนั้นๆ ได้อย่างถูกต้อง

การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ 
(EDI : Electronic Data Interchange)
เป็นเทคโนโลยีอีกประการหนึ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการจัดการซัพ
พลายเชน เป็นระบบถ่ายทอดข่าวสารข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีก
เครื่องหนึ่งในรูปสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ โดยรูปแบบข่าวสารข้อมูลนั้นจะมีการ
จัดรูปแบบและมีความเป็นมาตรฐานเดียวกันตามที่ได้ตกลงกันไว้ เรียกว่า EDI 
Message ผ่านเครือข่ายการสื่อสาร (Telecommunication Network) ท าให้
เพิ่มความถูกต้องและรวดเร็วในการท างาน ทั้งผู้ส่งและผู้รับข้อมูลต่างก็สามารถ
เข้าถึง EDI message ได้โดยไม่ต้องเสียเวลาในการบันทึกข้อมูลเข้าเครื่อง
คอมพิวเตอร์หรือพิมพ์ข้อมูลการสั่งซื้อออกมาเป็นเอกสาร ท าให้ประหยัดเวลาและ
ลดค่าใช้จ่ายในการจัดส่งเอกสาร ลดปัญหาการสูญหายและความผิดพลาด
เนื่องจากมีระบบฐานข้อมูลที่ถูกต้อง

การใช้ซอฟแวร์ Application SCM
การน าซอฟแวร์มาพัฒนาและประยุกต์ใช้งานในปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น Enterprise 
Resource Planning (ERP) เป็นซอฟแวร์ที่จัดเป็นระบบศูนย์กลางขององค์กรทั้งหมด ท า
หน้าที่ประสานงานหลักๆ ในด้านต่างๆ เช่น การเงิน การผลิต และการจัดคลังสินค้า 
Advance Planning and Scheduling จัดสร้างแผนการผลิตและจัดตารางเวลา
โรงงานการผลิต ใช้เงื่อนไขข้อจ ากัดและกฎเกณฑ์ทางธุรกิจในการปรับตารางให้ดีที่สุด 
Inventory Planning วางแผนคลังสินค้าที่จ าเป็นในแต่ละจุดเพื่อกระจายการจัดส่ง เพื่อให้
ตรงตามความต้องการของตลาด
Customer Asset Management ใช้ส าหรับจัดระบบการสื่อสารโต้ตอบกับลูกค้า รวมทั้งระบบขายอัตโนมัติและการให้บริการลูกค้า เป็นต้น
ซึ่งในปัจจุบันผู้ผลิตระบบ ERP หลักๆ มีอยู่ 5 รายด้วยกัน คือ SAP,ORACLE, 
Peoplesoft, J.D. Edwards และ Baan

อย่างไรก็ตามความร่วมมือกันบริหารงานในระดับซัพพลายเชนคงต้องมีกลไกให้มีการร่วม
คิดร่วมพัฒนาระหว่างองค์กรอย่างต่อเนื่อง ความเข้าใจและการผลักดันของผู้บริหาร
ระดับสูงของทุกองค์กรมีความส าคัญยิ่ง การจัดตั้งทีมงานร่วม (cross-functional 
team) ที่จะประกอบด้วยผู้ที่มีความรู้ความสามารถจากทุกองค์กรในซัพพลายเชนมา
ร่วมกันวางแผนหาจุดอ่อน และพัฒนาระบบโลจิสติกส์ในภาพรวม จะช่วยสร้างความ
ร่วมมือระหว่างกันได้รวดเร็วและเป็นรูปธรรม ความแตกต่างกันระหว่างองค์กรทั้งในเรื่อง
วัฒนธรรม แนวความคิด ขนาดองค์กร แนวทางการปฏิบัติงาน และเทคโนโลยี จะได้มี
การปรับให้สอดคล้องกันมากขึ้นตามล าดับ เพราะเรามีเป้าหมายเดียวกันคือความสามารถ
ในการแข่งขันและความพึงพอใจของลูกค้าเรานั่นเอง









CHAPTER 6 : e-CRM : Electronic Customer Relationship Management

e-CRM : Electronic Customer Relationship Management


Customer relationship management (CRM) : An approach to building and sustaining long-term business with
customers.

CRM  หมายถึง เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า
เรียนรู้ความต้องการที่แตกต่างกันของลูกค้า และตอบสนองความต้องการของ ลูกค้า
ด้วยสินค้าหรือบริการที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละคนมากที่สุดเป้าหมายของ CRM



เป้าหมายของ CRM นั้นไม่ได้ เน้นเพียงแค่การบริการลูกค้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเก็บข้อมูลพฤติกรรม ในการใช้จ่ายและความต้องการของลูกค้า จากนั้นจะนำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์ และใช้ให้เกิดประโยชน์ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือการบริการรวมไปถึงนโยบายในด้านการจัดการ ซึ่งเป้าหมายสุดท้าย ของการพัฒนา CRM ก็คือการเปลี่ยนจากผู้ บริโภคไปสู่การเป็นลูกค้าตลอดไปกระบวนการทำงานของระบบCRM

-Identify เก็บข้อมูลว่าลูกค้าของบริษัทเป็นใคร เช่น ชื่อลูกค้า ข้อมูลสําหรับติดต่อกับลูกค้า
-Differentiate วิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าแต่ละคน และจัดแบ่งลูกค้าออกเป็นกลุ่มตามคุณ
ค่าที่ลูกค้ามีต่อบริษัท
-Interact มีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าเพื่อเรียนรู้ความต้องการของลูกค้า และเพื่อสร้างความพึงพอ
ใจให้กับลูกค้าในระยะยาว
-Customize นําเสนอสินค้าหรือบริการที่มีความเหมาะสมเฉพาะตัวกับลูกค้าแต่ละคนขั้นตอนการทำงานของ CRM

1. การวิเคราะห์ลูกค้า
 ผู้ประกอบการธุรกิจจะต้องสามารถใช้ข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าที่มีอยู่ในฐานข้อมูลได้อย่างมีคุณค่า
และมีประสิทธิภาพ และการเก็บข้อมูลของลูกค้าและการนำไปใช้ จึงควรมีการจัดการอย่างเป็น
ระบบ ดังนี้
❖ ศึกษาข้อมูลประวัติลูกค้า
❖ การจัดเก็บข้อมูลของลูกค้าให้ถูกต้องครบถ้วนและมีความละเอียดพอสมควรเก็บไว้ในฐานข้อมูล
โดยการใช้เทคโนโลยีมาช่วยเก็บ
❖ จัดแบ่งกลุ่มลูกค้า อาจแบ่งตามพฤติกรรมการซื้อหรือการบริโภคผลิตภัณฑ์
❖ จัดเรียงลำดับลูกค้าตามความสำคัญที่มีต่อบริษัทขั้นตอนการทำงานของ CRM

2. การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทางการตลาดสภาพแวดล้อมทางการตลาดแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ระบบภายใน และ ระบบภายนอก ซึ่งทั้งสองระบบต่างมีความสำคัญต่อองค์กร หากมีจุดบกพร่องหรือเกิดข้อจำกัดขึ้นที่ใด อาจจะทำให้ธุรกิจประสบกับความล้มเหลวได้

3. การแบ่งส่วนตลาด ซึ่งสามารถแบ่งลูกค้าออกเป็น 3 ประเภท คือ ลูกค้าที่เป็นธุรกิจค้าส่ง ธุรกิจค้าปลีก และผู้บริโภค

4. การกำหนดตลาดเป้าหมายสามารถแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ประเภท
-Traders คือ กลุ่มคนกลางในช่องทางการจัดจำหน่าย และประเภท
-Consumers คือ กลุ่มผู้บริโภค ทั้งนี้ บริษัทไม่ควรดึงลูกค้าทุกคนเข้ามาเป็นกลุ่มเป้าหมายทั้งหมดขั้นตอนการทำงานของ CRM

5. การจัดทำแผนการตลาด  บริษัทควรจะจัดลำดับความสำคัญของแต่ละกลุ่มเป้าหมายว่าควรให้ความสำคัญกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใดเป็นอันดับแรกและรองลงไป และแต่ละกลุ่มนั้นผู้ใดมีบทบาทและมีอำนาจในการตัดสินใจซื้อ เครื่องมือหรือกิจกรรมการสื่อสารการตลาดที่นำมาใช้กับE-CRM นั้นจะต้องมีความหลากหลาย ดังนี้การตลาดโดยตรง Direct Marketingได้แก่ โ ทรศัพท์ ( Telemarketing ) เช่น Call Center ใ บรับประกันสินค้า ( Warranty Card ) การตลาดอิเล็กทรอนิกส์( E-Marketing ) เช่น การสร้างเวปไซต์ที่ให้สาระน่ารู้เกี่ยวกับสินค้า และมีสื่อตอบกลับให้ลูกค้าสื่อสารกลับมา

การประชาสัมพันธ์ ( Public Relations )
ได้แก่ เอกสารข่าวแจกในรูปของใบปลิว แผ่นพับ วารสาร การจัดกิจกรรมพิเศษ ( Event Marketing ) เช่น การเชิญลูกค้าเป้าหมายที่ถูกต้องมาร่วมงานที่บริษัทจัดขึ้นขั้นตอนการทำงานของ CRM

การโฆษณา ( Advertising )
เช่น การเขียนข้อความแบบเป็นกันเอง และพิมพ์ส่วนท้ายของโฆษณาในสื่อสิ่งพิมพ์ เป็นคูปองเพื่อให้ลูกค้ากรอกรายละเอียดตอบกลับมายังบริษัท ทั้งนี้เพื่อขอรับข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าเพิ่มเติม

การส่งเสริมการขาย ( Sales Promotion )
เป็นการสร้างและเพิ่มยอดซื้อของลูกค้าอย่างต่อเนื่องในระยะเวลาหนึ่ง ไ ด้แก่ แคมเปญสะสมแต้,คะแนนจากยอดซื้อเพื่อแลกรับของรางวัลหรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ การนำสินค้าเก่ามาแลกซื้อสินค้าใหม่ ซึ่งการส่งเสริมการขายนี้เหมาะสำหรับ E-CRM ที่มุ่งสร้าง
สัมพันธ์กับลูกค้าใหม่


ประโยชน์ ของ CRM  มี รายละเอียดข้อมูลของลูกค้าในด้านต่างๆ ได้ แก่
-Customer Profile
-Customer Behavior
-วางแผนทางด้านการตลาดและการขายอย่างเหมาะสม
-ใช้กลยุทธ์ ในการตลาด และการขายได้ อย่างรวดเร็วอย่างมี ประสิทธิ ภาพตรงความต้องการของ
ลูกค้า
-เพิ่มและรักษาส่วนแบ่งตลาดของธุรกิจ
-ลดการทำงานที่ซับซ้อน ลดค่าใช้ จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงาน เพิ่มโอกาสในการแข่งขัน ก่อให้ เกิดภาพพจน์ ที่ดี ต่อองค์การ


E-CRM หมายถึง กระบวนการจัดการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าทาง internet มีการผสมผสานการใช้งานเทคโนโลยี บุคลากร และกระบวนการขายสินค้าหรือบริการเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้มาซึ่งลูกค้า รักษาลูกค้าไว้และสร้างกำไรสูงสุดจากลูกค้าคุณสมบัติที่ดีของ e-CRM ความสามารถในการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว และสามารถในการประเมินความต้องการของลูกค้าล่วงหน้าได้ เพื่อให้การปฏิบัติงานสามารถเข้าถึงความต้องการของลูกค้าได้สูงสุด การอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าในการรับข้อมูลที่ตัวเองสนใจ และทันต่อเหตุการณ์ เช่น ระบบ CRM สามารถแจ้งให้เจ้าของรถยนต์ทราบล่วงหน้าว่า รถของพวกเขาถึงเวลาอันสมควรที่จะได้รับการตรวจเช็คจากศูนย์บริการ โดยระบบจะทราบถึงรายละเอียดของข้อมูลลูกค้าเพื่อใช้ในการติดต่อ รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับตัวรถ จดหมายแจ้งลูกค้า จะถูกส่งไปทาง e-mail  ตามที่อยู่ที่เก็บบันทึกไว้ในช่วงเวลาที่กำหนด โ ดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับการเข้ารับบริการตรวจ เช็ครถคันดังกล่าว รวมถึงการเพิ่มความสะดวกให้แก่ลูกค้าด้วยการแนะนำศูนย์บริการที่ใกล้
ที่สุดให้พนักงานในองค์กรนั้นๆทาง web site


คุณสมบัติที่ดีของ e-CRM
ในปัจจุบันเทคโนโลยีที่ทันสมัย และการพัฒนาของซอฟต์แวร์ได้ช่วยอำนวยความสะดวกให้
องค์กร สามารถเก็บรวบรวมขู้มูลลูกค้าได้อย่างมีระบบ และนำมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อได้เปรียบที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ ระบบการทำงานที่มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุน ซึ่งมี
ความเที่ยงตรงกว่าการบริหารโดยคน และยังสามารถแสดงให้เห็นถึงทิศทางและแนวโน้มใน
เรื่องต่างๆ อย่างชัดเจน เช่น อัตราการเติบโตของลูกค้า ความจำเป็นที่จะต้องหาพนักงานใหม่
และการฝึกฝนทีมงานองค์ประกอบของE-CRM


❖ระบบการจัดการ
❖คน
❖เทคโนโลยีหน้าที่หลักของ e-CRM

การหาลูกค้าใหม่ (Prospecting) ปัจจัยที่ต้องพิจารณา คือ
❖ การจัดกลุ่มลูกค้า
❖ การเลือกกลุ่มลูกค้าที่จะเป็นเป้าหมาย
❖ วิธีการได้ลูกค้า การจัดกลุ่มและการเลือกจะพิจารณาจาก “ความต้องการของลูกค้า” และ “กำไรของบริษัท” ส่วนวิธีการได้ลูกค้า ได้แก่
❖ การโฆษณาตามสื่อต่างๆ
❖ การประชาสัมพันธ์
❖ Web Site
❖ พนักงานขาย
❖ งานแสดงสินค้า
❖ ลูกค้าติดต่อ สอบถามที่บริษัท
❖ การจัดกิจกรรมทางการตลาด หน้าที่หลักของ e-CRM

➢การรักษาลูกค้าเก่าไว้ หรือ การเรียกลูกค้าเก่ากลับมา (Save or Win Back)
▪ตรวจสอบ
✓ ลูกค้าที่มีแนวโน้มการซื้อลดลง
✓ ลูกค้าที่ขาดการติดต่อ
▪กลยุทธ์
✓ วิเคราะห์และเสนอสินค้า และหรือโปรแกรมที่จูงใจ
✓ เสนอกิจกรรมเพื่อให้ลูกค้าเข้าร่วมหน้าที่หลักของ e-CRM

❖ การสร้างความจงรักภักดี การวัดความจงรักภักดีพิจารณาจาก (ต่อ)
 1)มูลค่าที่ได้รับจากลูกค้า (Value-based segmentation) ดูยอดซื้อของลูกค้าแต่ละรายดูกำไรที่ได้รับ จัดกลุ่มตามยอดซื้อหรือกำไร
 2)ความต้องการของลูกค้า (Need-based segmentation) ดูความต้องการของแต่ละคน จัดกลุ่มตามความต้องการ หน้าที่หลักของ e-CRM
 3)การสร้างความจงรักภักดีทำได้โดย จัดกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง เสนอสิทธิพิเศษ
 เสนอสินค้าหรือบริการใหม่ๆทำ Loyalty Programหน้าที่หลักของ e-CRM

❑ การขายเพิ่มขึ้นโดยใช้ (Cross-sell/Up-sell)
❖ ขายสินค้าชนิดอื่น (Cross-sell) เช่น ตัวอย่าง: การขายประกันรถยนต์ ประกันบ้านกับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิต (Offer : Complementary Product)
❖ ขายสินค้าเกรดดีขึ้น หรือ ขายปริมาณมากขึ้น เช่น (Up-sell)ปัจจัยที่มีผลต่อ e-CRM
1. ปรับแนวคิดการติดต่อกับลูกค้า
2. เน้นการติดต่อและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับลูกค้า
3. ดำรงไว้ซึ่งเป้าหมายการสร้างประโยชน์ให้แก่ลูกค้า
4. เรียนรู้และเข้าถึงเทคโนโลยีที่นำมาใช้ในการพัฒนาความสัมพันธ์
5. ต้องมีข้อมูลของลูกค้าอย่างถูกต้อง ทันสมัยเพื่อให้ทันกับพฤติกรรมของลูกค้า
6. ติดตามกลยุทธ์การตลาดของคู่แข่งขันอย่างทันเหตุการณ์
7. ต้องมีความยืดหยุ่นในกลยุทธ์ ถ้าข้อมูลเปลี่ยนต้องปรับกลยุทธ์ตอบสนองความเปลี่ยนแปลงได้อย่างทันที
8. ทำ ERM : Employee Relationship Management คือ สร้างความสัมพันธ์และความรู้สึกของการทำงาน
เป็นทีม
9. ทำ ERM : Experiment Relationship Management คือ การจัดการกับประสบการณ์ของลูกค้า
10.ทุกฝ่ายในบริษัทต้องมี Marketing Mind ส่วนประกอบของ e-CRM

❑ ระบบการขายอัตโนมัติ ประกอบด้วย
❖ ระบบ ขายโดยผ่านโทรศัพท์ ตอบรับ เพื่อให้ บริการแบบ Proactive ในลักษณะ Telesale
❖ ระบบพาณิชย์ อิเลกทรอนิกส์ (E-Commerce) เพื่อทำการขายแบบ Up-Saleing หรื อ Cross-Saleing
❖ ระบบงานสนามด้านการขาย ไ ด้ แก่ Wireless Application สำหรับการขายปลีกและตัวแทนจำหน่าย
สามารถเรียกดูข้อมูลลูกค้าได้ทันที ขณะติดต่อจะเพิ่มโอกาสในการขายให้ สูงขึ้น

❑ ระบบบริการลูกค้า (Call Center) ประกอบด้วย ระบบการให้ บริการในด้านโทรศัพท์ ตอบรับ
(Interactive Voice Response: IVR) ด้านเว็บไซต์ ด้านสนามและข่าวสารต่าง ๆส่วนประกอบของ e-CRM
❑ ระบบการตลาดอัตโนมัติ ประกอบด้วย ระบบย่อยด้านการจัดการด้านรณรงค์ ต่างๆ ด้านการแข่งขัน ด้านเครื่องมือที่จะช่วยการวิเคราะห์ ข้อมูล และวิเคราะห์ธุรกิจ
❑ Data Warehouse และเครื่องมื อจัดการข้อมูล เป็นระบบสำคัญในการจัดการข้อมูลที่ละเอียดของ CRM ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลจากภายในและภายนอกองค์กร ข้อมูลภายในมี ที่มาจาก 2 แหล่ง คือ
✓มาจากระบบงานคอมพิวเตอร์ เป็นงาน Routine ที่มาจากระบบ Billing ลูกหนี้
ทะเบียนลูกค้า Call Center และข้อมูลเก่าดังเดิมที่ไม่ได้ อยู่ในรูปแบบฐานข้อมูล
✓ข้อมูลภายนอกได้ แก่ Web Telephone Directory เป็นต้นขั้นตอนการทำ e-CRM

❑พัฒนาฐานข้อมูล
❑เลือกเทคโนโลยี
❑เลือกโปรแกรมการตลาด
❑ติดต่อสื่อสาร
❑ประเมินผล
❑ปรับปรุงฐานข้อมูลส่วนประกอบของ e-CRM


Business Computer Department Chiangmai Rajabhat University 
Mr. Chayaphat Phumchun

CHAPTER 5 : e-Marketing


-E-marketing : Achieving marketing objectives through useof electronic communications technology.
-E-Marketing ย่อมาจากค าว่า Electronic Marketing หรือเรียกว่า “การตลาดอิเล็กทรอนิกส์” หมายถึงการด าเนินกิจกรรมทางการตลาดโดยใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่ทันสมัยและสะดวกต่อ
การใช้งาน เข้ามาเป็นสื่อกลาง ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์หรือพีดีเอ ที่ถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันด้วยอินเทอร์เน็ต มาผสมผสานกับวิธีการทางการตลาด การด าเนินกิจกรรมทางการตลาด อย่างลงตัวกับ
ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายขององค์กรอย่างแท้จริง

คุณลักษณะเฉพาะของ e-Marketing
-เป็นการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายในลักษณะเฉพาะเจาะจง (Niche Market)
-เป็นลักษณะเป็นการสื่อสารแบบ 2 ทาง (2 Way Communication)
-เป็นรูปแบบการตลาดแบบตัวต่อตัว (One to One Marketing หรือ Personalize Marketing) ที่ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายสามารถก าหนดรูปแบบสินค้าและบริการได้ตามความต้องการของตนเอง
-มีการกระจายไปยังกลุ่มผู้บริโภค (Dispersion of Consumer)
-เป็นกิจกรรมที่นักการตลาดสามารถสื่อสารไปยังทั่วทุกมุมโลก ตลอด 24 ชั่วโมง (24 Business Hours)
-สามารถติดต่อสื่อสาร โต้ตอบ ปฏิสัมพันธ์ได้อย่างรวดเร็ว (Quick Response)
-มีต้นทุนต่ าแต่ได้ประสิทธิผล สามารถวัดผลได้ทันที(Low Cost and Efficiency)
-มีความสัมพันธ์กับกิจกรรมการตลาดแบบดั้งเดิม (Relate to Traditional Marketing)
-มีการตัดสินใจในการซื้อจากข้อมูลข่าวสารที่ได้รับ (Purchase by Information)

E-Marketing เป็นส่วนผสมแนวความคิดทางการตลาด และทางเทคนิค รวมเข้าไว้ด้วยกันทั้งด้าน การออกแบบ (Design), การพัฒนา (Development), การโฆษณาและการขาย (Advertising and Sales) เป็นต้น (ตัวอย่างกิจกรรมได้แก่Search Engine Marketing, E-mail Marketing, Affiliate Marketing, Viral Marketing ฯลฯ) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ธุรกิจและลูกค้า เนื่องจากระบบทางอิเล็กทรอนิกส์สามารถสนับสนุนการร้องขอข้อมูลของลูกค้า การจัดเก็บประวัติ และพฤติกรรมของลูกค้าเอาไว้ รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ส่งผลต่อ การเพิ่มและรักษาฐานลูกค้า (Customer Acquisition and Retention) และอ านวยประโยชน์ในการประกอบธุรกิจอย่างครบถ้วน

-ในขณะที่การตลาดแบบดั้งเดิม (Traditional Marketing) จะมีรูปแบบที่แตกต่างจาก E-Marketing อย่างชัดเจน โดยการตลาดแบบดั้งเดิมนั้นจะมีกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย จะไม่เน้นท ากับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง และมักจะใช้วิธี การแบ่งส่วนตลาด (Marketing Segmentation) โดยใช้เกณฑ์สภาพประชากรศาสตร์ หรือสภาพภูมิศาสตร์ และสามารถครอบคลุมได้บางพื้นที่ ในขณะที่ถ้าเป็นE-Marketing จะสามารถครอบคลุมได้ทั่วโลกเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้ธุรกิจต่างๆ จึงได้ให้ความสนใจกับอินเทอร์เน็ตเป็นอย่างมาก รวมถึงได้มีการน าเอาแนวคิดE-Marketing มาประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลาย เพื่อท าการตลาดออนไลน์ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

Distinguishing between e-marketing, e-business and e-commerce
- Electronic business has some degree of overlap with electronic marketing. From the discussion of the marketing concept above we can reject this since both e-business and e-marketing are broad topics.
- Electronic business is broadly equivalent to electronic marketing. Thisis perhaps more realistic, and indeed some marketers would considere-business and e-marketing to be synonymous.
- Electronic marketing is a subset of electronic business. It can beargued that this is most realistic since e-marketing is essentially customer-oriented and it has less emphasis on supply chain and procurement activities in comparison with e-business.

ความแตกต่างกันระหว่าง e-Marketing, e-Business และ e-Commerce
-E-Marketing คือรูปแบบการท าการตลาดในรูปแบบหนึ่งโดยใช้เครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องมือ
ดิจิตอลเข้ามาช่วยในการท าการตลาด แต่ในความหมายส าหรับ E-Business หรือ Electronic Business
นั้นจะมีความหมายที่ใกล้เคียงกับค าว่า E-Commerce หรือ Electronic Commerce มากกว่า เพียงแต่ว่าความหมายของ E-Business จะมีขอบเขตที่กว้างกว่า โดยหมายถึงการท ากิจกรรมในทุก ๆ ขั้นตอนของกระบวนการธุรกิจผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือเรียกว่า “ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์” ทั้งการท าการค้าการซื้อการ
ขาย การติดต่อประสานงาน งานธุรการต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในส านักงาน และการท าธุรกรรอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นกระบวนการในการด าเนินการทางธุรกิจที่อาศัยระบบสารสนเทศทางคอมพิวเตอร์มาใช้ในการดำเนินงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจ โดยมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม (Added Value)
ตลอดกิจกรรมทางธุรกิจ (Value Chain) และลดขั้นตอนของการที่ต้องอาศัยแรงงานคน (Manual Process) มาใช้แรงงานจากเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ (Computerized Process)แทน รวมถึงช่วยให้การดำเนินงานภายใน ภายนอก มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และยังเป็นการสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้ามาขึ้น
อีกด้วย ตัวอย่างเช่นการควบคุมสต๊อคและการช าระเงินให้เป็นระบบอัตโนมัติด าเนินการได้รวดเร็ว และทำได้ง่าย ลักษณะการน า E-Business มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจได้แก่

ลักษณะการน า E-Business มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจได้แก่
-การเชื่อมต่อระหว่างกัน ภายในองค์กร (Intranet)
-การเชื่อมต่อระหว่างกัน กับภายนอกองค์กร (Extranet)
-การเชื่อมต่อระหว่างกัน กับลูกค้าทั่วโลก (Internet)


Distinguishing between e-marketing, e-business and e-commerce

ประโยชน์ของ e-Marketing
นักการตลาดชื่อ Smith and Chaffey ได้กล่าวถึงประโยชน์จากการน าเอาเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตมาช่วยสนับสนุนการท าการตลาดและก่อให้เกิดผลสำเร็จตามเป้าหมาย โดยมองว่า E-Marketing เป็นกระบวนการในการจัดการทางการตลาด โดยมีการเน้นย้ าถึงการให้ความส าคัญแก่ลูกค้าเป็นหลัก ในขณะที่
แสดงถึงการเชื่อมโยงการท างานทางธุรกิจในอันที่จะช่วยสร้างความสำเร็จในผลก าไรให้กับธุรกิจ ซึ่งสามารถแบ่งกระบวนการในการจัดการทางการตลาดได้ดังนี้

กระบวนการในการจัดการทางการตลาดของ e-Marketing การจำแนกแยกแยะ (Identifying) สามารทำการจำแนกแยกแยะได้ว่าลูกค้าเป็นใคร มีความต้องการอย่างไร อยู่ที่ไหน และมีพฤติกรรมในการเลือกซื้อสินค้าอย่างไร โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย
-การทำนายความคาดหวังของลูกค้า (Anticipating) เนื่องจากความสามารถของอินเทอร์เน็ตนั้นช่วยเพิ่มช่องทางให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูล และสามารถซื้อสินค้าได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยการเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าถือเป็นหัวใจส าคัญในการทำ E-Marketing ตัวอย่างเช่นเว็บไซต์สายการบินต้นทุนต่ า easy Jet (http://www.easyjet.com) มีส่วนสนับสนุนท าให้มีรายได้จากการผ่านออนไลน์กว่า 90%
-สนองความพอใจของลูกค้า (Satisfying) ถือเป็นความส าเร็จในการท า E-Marketing ในการ
สร้างความพอใจให้แก่ลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ การเพิ่มขึ้นของลูกค้านั้นอาจจะมาจาก การ
ใช้งานง่าย การสนับสนุนการให้บริการแก่ลูกค้า เป็นต้น

ประโยชน์ของการนำ e-Marketing มาใช้ 5Ss’นอกจากนี้ Smith and Chaffey ยังได้กล่าวถึง 5Ss’ ซึ่งเป็นประโยชน์ที่ได้รับจากการน าเอากลยุทธ์การตลาดออนไลน์มาใช้ได้แก่
-การขาย (Sell) ช่วยท าให้ยอดขายเพิ่มขึ้นจากการท าการตลาดออนไลน์ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือที่ช่วย
ให้ท าให้ลูกค้ารู้จักและเกิดความทรงจ า (Acquisition and Retention tools) ในสินค้าบริการ
-การบริการ (Serve) การสร้างประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นให้แก่ลูกค้า จากการใช้บริการผ่านออนไลน์ไม่ว่า
จะเป็นการให้สิทธิพิเศษต่างๆ เป็นต้น)
-การพูดคุย (Speak) การสร้างความใกล้ชิดกับลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยสามารถสร้างแบบสนทนาการ
โต้ตอบกันได้ระหว่างกันได้ (Dialogue) ท าให้ลูกค้าสามารถเข้ามาสอบถาม ตลอดจนสามารถ
ส ารวจความคิดเห็น ความต้องการของลูกค้า ลูกค้ามีความสนใจในเรื่องใดเป็นพิเศษ

ประโยชน์ของการน า e-Marketing มาใช้ 5Ss’ (ต่อ)
-ประหยัด (Save) การสร้างความประหยัดเพิ่มขึ้นจากงบประมาณการพิมพ์กระดาษ โดยสามารถ
ใช้วิธีการส่งจดหมายข่าว E-Newsletter ไปยังลูกค้าแทนการส่งจดหมายแบบดั้งเดิม
-การประกาศ (Sizzle) การประกาศสัญลักษณ์ ตราสินค้าผ่านออนไลน์ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างสินค้า
ของเราให้เป็นที่รู้จัก มีความคุ้นเคยมากยิ่งขึ้น
การท า E-Marketing ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ธุรกิจในหลายๆ ประการ ทั้งในแง่ของกลุ่มผู้ประกอบการ
เจ้าของสินค้า และในแง่ของกลุ่มลูกค้า ท าให้ธุรกิจด าเนินไปได้อย่างรวดเร็ว และด้วยต้นทุนที่ต่ า

หลักการของ e-Marketing
-การตลาดยุค E เน้นการใช้Mass Customization มากกว่า Mass Marketing เพราะลูกค้าทุก
คนมีสิทธิ์เลือกเว็บไซต์ต่างๆ ทั่วโลกเพื่อหาสินค้าที่ตนเองต้องการ เพราะฉะนั้น เราต้องเน้น
ระบบที่สนองตอบความต้องการของลูกค้าแต่ละคนเป็นหลัก ทั้งนี้เราจักต้องสร้าง ระบบ
โปรแกรมอัตโนมัติขึ้นมาตอบสนองความต้องการดังกล่าว โดยให้แต่ละคนสามารถเลือก
ทางเลือกที่สนองความต้องการได้ด้วยตนเอง
- การแบ่งส่วนตลาดต้องเป็นแบบ Micro Segmentation หรือ One-to-One Segmentation
หมายถึง หนึ่งส่วนตลาดคือ ลูกค้าหนึ่งคน เพราะในตลาดบนเว็บถือว่าลูกค้า เป็นใหญ่ เนื่องจาก
มีสิทธิ์ที่เลือกซื้อสินค้าใครก็ได้ ยกเว้นแต่เราเป็นเพียงรายเดียวที่มีอยู่ใน ตลาด ฉะนั้นการ
พิจารณาข้อมูลความต้องการ หรือพฤติกรรมของลูกค้าทุกคน โดยอาศัยระบบฐานข้อมูลที่
ตรวจจับพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละราย ได้ถือเป็นปัจจัยแห่งความส าเร็จที่ส าคัญมาก หรือในแง่
ของการจัดการแล้วเราเรียกว่า CRM หรือ Customer Relationship Management นั่นเอง
เพราะนี่จะท าให้เราทราบว่า ใครคือลูกค้าประจำ
-การวางต าแหน่งสินค้า (Positioning) ต้องเป็นไปตามความต้องการแต่ละบุคคล หรือMigrationing การวางต าแหน่งสินค้าเพื่อให้ลูกค้ารับรู้นั้น ต้องวางตามความต้องการของแต่ละบุคคล และหากความต้องการนั้นเปลี่ยนไป ระบบก็ต้องเคลื่อนต าแหน่งของการวางนั้นไปสนองตอบต่อความต้องการใหม่ด้วย
-ให้เราเป็นหนึ่งในเว็บที่ลูกค้าจ าได้การ สร้างความจดจ าเพื่อให้จ าเว็บไซต์เราการจดชื่อโดเมนที่ทำให้จดจ าง่าย หรือมีความหมายที่สอดคล้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์จึงเป็นสิ่งที่จ าเป็นมาก
-ต้องรู้ ความต้องการลูกค้าล่วงหน้า จ าเป็นจักต้องติดตามพฤติกรรมการซื้อของกลุ่มเป้าหมายโดยตลอดต้องรู้ ความต้องการลูกค้าล่วงหน้า จ าเป็นจักต้องติดตามพฤติกรรมการซื้อของกลุ่มเป้หมายโดยตลอด
-ต้องปรับที่ตัวสินค้าและราคาเป็นหลัก สินค้าถือเป็นหัวใจที่ส าคัญที่สุด จ าเป็นอย่างยิ่งที่จักต้องเทียบกับคุณค่าของสินค้า และคู่แข่งเสมอว่า ใครสนองตอบต่อความต้องการได้ดีกว่ากัน
-ต้องให้ลูกค้าตกแต่งสินค้าตามความต้องการได้โดยอัตโนมัติ (Customization & Personalization) วิธีที่ให้ลูกค้าได้รับ คุณค่า หรือสนองความต้องการได้ดีที่สุด ก็คือ การให้ลูกค้าได้เลือกหรือตกแต่งสินค้าเอรวมทั้งการคำนวณราคาด้วย ฉะนั้น การให้ Options ให้ลูกค้าได้เลือกมากที่สุด จึงเป็นสิ่งที่ส าคัญมาก


เครื่องมือที่ส าคัญของการตลาดอิเล็กทรอนิกส์
- Digital advertising
- Raid Marketing
- e-mail Marketing
- Video Marketing
- Blogging
-Mobile marketing
- Pay Per Click
- Search Engine Optimization
- Social Media Marketing


ส่วนผสมทางการตลาดอิเล็กทรอนิกส์
-ผลิตภัณฑ์(Product)
-ราคา (Price)
-สถานที่ (Place)
-การส่งเสริมการขาย (Promotion)
-เครือข่ายสังคม (Social Network)
-การขายบนเว็บไซต์
-การบริการลูกค้า
-ระบบป้องกันความปลอดภัย
-ระบบฐานข้อมูลลูกค้าเพื่อน ามาใช้ในการบริการ (Personalization Service)

e-Marketing Planning the SOSTAC™ framework developed by Paul Smith
(1999) ซึ่งสามารถสรุปขั้นตอนที่เกี่ยวข้องได้ 6 ขั้นตอนด้วยกัน คือ
-Situation – where are we now?
- Objectives – where do we want to be?
- Strategy – how do we get there?
- Tactics – how exactly do we get there?
- Action – what is our plan?
- Control – did we get there?

e-Marketing Planning
-A e-marketing plan is needed to detail the specific objectives of the e-business strategy through marketing activitie



e-MarketingPlanning


7 ขั้นตอนส าหรับการท า e-Marketing


-ขั้น 1 ก าหนดวัตถุประสงค์(Set Objective)การจัดทำเว็บไซต์ต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์หลักของธุรกิจ

ขั้น 1 กำหนดวัตถุประสงค์ (Set Objective) เพื่อสร้างยอดขาย (Sales and Acquisition) การนำ e-Marketing มาใช้เพื่อให้เกิดผลกระทบในการเพิ่มยอดขายโดยตรงกับธุรกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นขณะตัดสินใจซื้อ โดยกระตุ้นไปยังกลุ่มลูกค้าที่คาดหวังให้เกิดการทดลองซื้อ และเกิดการซื้อซ้ าส าหรับลูกค้าเดิม การสร้างยอดขาย อาจทำได้โดยวิธีการขายสินค้าผ่านออนไลน์วิธีการประชาสัมพันธ์เพื่อให้เกิดการซื้อในอนาคต ผลที่ได้เช่น เสริมสร้างความเป็นผู้นำทางการตลาด , ส่งเสริมยอดขายและสนับสนุนการขาย, เพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด, สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้า, สร้าความสัมพันธ์กับลูกค้า และเพิ่มการเยี่ยมชมให้กับเว็บไซต์ของเรา

ขั้น 1 ก าหนดวัตถุประสงค์ (Set Objective)
-เพื่อสร้างภาพลักษณ์(Image)
ลักษณะภาพลักษณ์ที่ดีมีดังนี้
I. สร้างขึ้นมาให้ดูง่าย จดจ าง่าย
II. ดูมีความน่าเชื่อถือ ก่อให้เกิดความประทับใจ
III. เป็นรูปธรรมและมองเห็นได้อย่างชัดเจน
IV. อยู่ระหว่างความคาดหวังและความเป็นจริง ควรเป็นไปในเชิงบวก
V. เป็นสินทรัพย์ของธุรกิจ
ดังนั้นการน า e-Marketing มาใช้เพื่อช่วยเสริมสร้างพัฒนาภาพลักษณ์ ตราสินค้าได้เป็นอย่างดี
โดยการส่งข้อความเชิงบวกในสินค้าและบริการถึงกลุ่มเป้าหมาย หรือสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
ในด้านความรับผิดชอบที่ควรมีต่อลูกค้า

ขั้น 1 กำหนดวัตถุประสงค์ (Set Objective)

-ให้บริการและเพื่อสนับสนุนการขาย (Service and Support)
เป็นช่องทางส าหรับบริการหลังการขายแก่ลูกค้า เน้นในด้านการให้บริการภายในเว็บไซต์ โดยสร้าง
การติดต่อสื่อสารขึ้นระหว่างกัน เช่น การติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย หรือการติดต่อ
ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ซื้อด้วยกันเอง

-การสร้างตราสินค้าให้เป็นที่รู้จัก (Brand Awareness)
โดยการท าการส่งข้อความด้วยเครื่องมือทางการตลาดออนไลน์ใด ๆ ถึงกลุ่มเป้าหมายเพื่อให้เกิดการรับรู้ (Awareness) ท าให้ลูกค้าจดจ าได้ (Recognition) และระลึกถึงเป็นชื่อแรก (Recall)เมื่อต้องการจะซื้อสินค้า ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ท าให้ลูกค้ารับรู้ถึงคุณลักษณะ คุณสมบัติ และประโยชน์ของสินค้า

-การรักษาฐานลูกค้าปัจจุบัน (Customer Retention)
เป็นความพยายามในการสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าซึ่งยังผลให้ธุรกิจสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการรักษาความพอใจให้คงอยู่ ซึ่งกระบวนการนี้มีความเกี่ยวเนื่องกับการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relation Management: CRM)

-การสร้างความจงรักภักดีในตราสินค้า (Brand Royalty)
คือการที่ลูกค้ารักและเกิดความศรัทธาในตราสินค้าของธุรกิจและยากที่จะท าให้ลูกค้าเกิดการเปลี่ยนใจที่จะไปซื้อสินค้าอื่นแทน ซึ่งการสร้างความจงรักภักดีจะส่งผลต่อการลดต้นทุนทางการตลาดในระยะยาว สร้างความไว้วางใจให้แก่ลูกค้า


ขั้น 2 การก าหนดกลุ่มเป้าหมายด้วยวิธี 5W+1H

       -Who(ใคร) ลูกค้าคือใคร มีอายุประมาณเท่าไร เพศอะไร ระดับการศึกษาเป็นอย่างไร ระดับรายได้หรือฐานเงินเดือนอยู่ที่เท่าใด ประกอบอาชีพอะไร รสนิยมส่วนตัวเป็นอย่างไร ฯลฯข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้สามารถระบุกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนเพื่อวางแผนการตลาดหรือสร้างสินค้าหรือบริการที่ตอบสนองต่อพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายได้ถูกต้อง

       -What(อะไร) อะไรคือสิ่งที่ลูกค้าต้องการ เพื่อทราบอุปสงค์(demand) และความปรารถนา
ภายในใจ (willing) ของลูกค้าว่า สินค้าหรือบริการรูปแบบไหนที่ลูกค้าต้องการและอะไรที่จะ
สร้างความแตกต่างให้กับสินค้าหรือบริการจากคู่แข่งขันได้

       -Where (ที่ไหน) ลูกค้าอยู่ที่ไหน เป็นค าถามเชิงภูมิศาสตร์เพื่อทราบถึงสภาพแวดล้อม
วัฒนธรรม ภาษา และเชื้อชาติของกลุ่มเป้าหมายว่าเป็นเช่นไร เพื่อให้ทราบว่าจะหาลูกค้าได้
จากไหนบ้าง และที่ไหนคือที่ๆลูกค้ามักจะไปอยู่และสามารถสื่อสารกับลูกค้าได้ด้วยวิธีอะไร

       -When (เมื่อไร) เมื่อไรที่ลูกค้าต้องการเรา เราควรทราบถึงความต้องการว่าในช่วงเวลาไหน ที่
ลูกค้าต้องการซื้อหรือใช้บริการ และต้องการบ่อยเพียงใด ซึ่งจะช่วยให้เราก าหนดและวาง
แผนการพยากรณ์ต่าง ๆ ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างถูกต้อง

       -Why (ท าไม) ท าไมลูกค้าต้องมาที่เรา เป็นค าถามเชิงเหตุผลว่า เหตุใดลูกค้าถึงได้เข้ามาซื้อ
สินค้าจากเรา อาจเป็นเงื่อนไขในเรื่องของราคาที่ถูกกว่าคู่แข่ง หรือสินค้ามีคุณภาพมากกว่า
ความสะดวกสบาย บริการหลังการขายที่ดีกว่า

       -How (อย่างไร) เราสามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างไร เป็นค าถามเชิงวิธีการ หรือหนทางในการ
รักษาฐานลูกค้าเก่า หรือเพิ่มยอดขายจากลูกค้ารายใหม่ ซึ่งควรจะมีการวางแผนและก าหนด
วิธีการที่จะเข้าถึงลูกค้าได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากที่สุด


ขั้น 3 วางแผนงบประมาณ มีเงินเท่าไร จะใช้เท่าไรเป็นการประเมินถึงจ านวนเงินเพื่อใช้ในการทำงาน ว่ามีเท่าใด ซึ่งถือเป็นค่าใช้จ่ายทางบัญชีที่เจ้าของธุรกิจต้องทราบ ว่าจะด าเนินธุรกิจให้ได้ตามแผนต้องใช้เงินลงทุนแต่ละส่วนเป็นเงินเท่าใดและได้มาจากแหล่งใด หลักในการท างบฯ มีด้วยกันหลายวิธีเช่น
# ท างบประมาณตามสัดส่วนจากการขาย
# ท างบประมาณตามสภาพตลาด
# ท างบประมาณตามวัตถุประสงค์
# ท างบประมาณตามเงินทุน


ขั้น 4 ก าหนดแนวความคิดและรูปแบบ หาจุดขาย ลูกเล่น
เป็นการสร้างแนวความคิดที่แปลกใหม่ น่าสนใจให้กับเว็บไซต์ โดยเป็นการสร้างจุดเด่นหรือจุดที่แตกต่างกับเว็บอื่น ๆ ท าให้เกิดเอกลักษณ์ของเว็บไซต์เรา ซึ่งเป็นปัจจัยที่ท าให้ผู้เยี่ยมชมจดจำเว็บไซต์ได้อาจจะเป็นรูปแบบการบริการที่ไม่เหมือนใคร การใช้ลักษณะการออกแบบเว็บที่โดดเด่นหรือเนื้อหาในเว็บท าให้ผู้อ่านสนใจ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องยืนอยู่บนเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่เราตั้งใจไว้เป็นสำคัญ


ขั้น 5 การวางแผนกลยุทธ์ และสื่อ ช่วงเวลาเป็นการเลือกสรรวิธีหรือกลยุทธ์ที่ใช้สำหรับการทำกาตลาดออนไลน์ ว่าควรเลือกใช้สื่อรูปแบบใดดีโดยดูที่วัตถุประสงค์เป็นหลัก เช่น การโฆษณาผ่านหน้าเว็บในรูปแบบต่าง ๆ , การตลาดผ่านระบบค้นหา, การตลาดผ่านอีเมล์, การตลาดผ่านเว็บบล็อกนอกจากนั้นอาจจะมีการผสมผสานด้วยสื่อในรูปแบบ offline หรือสื่อที่ไม่ใช่สื่อออนไลน์ เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการท าการตลาดร่วมกัน เช่น การโฆษณาบนวิทยุโทรทัศน์ บนสื่อสิ่งพิมพ์เป็นต้น โดยน าสื่อหรือกลยุทธ์รูปแบบอื่นไปร่วมในแผนตามความเหมาะสม ควรมีการวางแผน“แผนการใช้สื่อ” เพื่อวางเป้าหมายในการใช้สื่อแต่ละช่วงเวลาได้เหมาะสมและเป็นไปในทิศทางเดียวกันตลอดทั้งปี


ขั้น 6 การด าเนินการตามแผนที่ได้วางไว้
เทคนิคการเตรียมตัวก่อนการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ดังนี้
I. เช็คว่าพร้อมหรือยัง? ด้วยกลยุทธ์6C
II. มีเอกลักษณ์หรือจุดเด่นของเว็บไซต์ เช่น แนวความคิดพื้นฐานของตัวเว็บไซต์ที่โดดเด่น มีความสอดคล้องกับตราสินค้าหรือบริการหลักของธุรกิจ การออกแบบเว็บไซต์เช่นสีสัน โลโก้การวางรูปแบบ และเนื้อหามีความเป็นเอกลักษณ์
III. การสร้างช่องทางการเก็บข้อมูลผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ เช่น การลงทะเบียนสมาชิก แบบสอบถามออนไลน์ บริการการรับข่าวสารทางอีเมล์ เป็นต้น


ขั้น 7 วัดผลและประเมินผลลัพธ์เป็นวิธีการวัดผลความส าเร็จจากการท าแผนการตลาดว่ามีผลลัพธ์เช่นไร การด าเนินการทางการตลาดประสบความส าเร็จตามที่ก าหนดมากน้อยเพียงใด โดยประเมินจากการเติบโตของยอดขาย ส่วนแบ่งทางการตลาด ภาพลักษณ์ที่ลูกค้ามีต่อสินค้าหรือบริการ ก าไร ฯลฯ เพื่อเป็นข้อมูลส าคัญในการตัดสินใจการด าเนินตามแผนธุรกิจต่อไปตัวอย่างเครื่องมือวัดผลเช่น การวัดสถิติการเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์สถิติการจัดอันดับบนเครื่องมือ
ค้นหา (Search Engine) เป็นต้น


6 Cs กับความสำเร็จของการทำเว็บ
1. C ontent (ข้อมูล)
2. C ommunity (ชุมชน,สังคม)
3. C ommerce (การค้าขาย)
4. C ustomization (การปรับให้เหมาะสม)
5. C ommunication, Channel (การสื่อสารและช่องทาง)
6. C onvenience (ความสะดวกสบาย)C ontent (ข้อมูล)

-ข้อมูลใหม่สดเสมอ
-ข้อมูลมีความถูกต้อง
-อ้างอิงถึงแหล่งที่มาของข้อมูล

การจัดการและบริหารข้อมูล (Content Management )
1. เว็บไซต์ที่มีข้อมูลไม่มีการเปลี่ยนแปลงบ่อย (Static Content)
2. เว็บไซต์ที่เปลี่ยนแปลงข้อมูลอยู่เสมอ (Dynamic Content)C ontent (ข้อมูล)

-รูปแบบของการหาข้อมูลมาไว้ในเว็บไซต์มี 3 รูปแบบใหญ่ๆ ได้แก่
-ทางผู้จัดท าเว็บไซต์เป็นคนผลิตข้อมูลขึ้นมา (Self Feeding)
-ข้อมูลมากจากผู้เข้ามาใช้บริการ (User Feeding)
-ข้อมูลมากจากพันธมิตร (Partner Content)


Community (ชุมชน,สังคม)

Community คือ การรวมตัวของกลุ่มคนจ านวนหนึ่ง ที่อยู่ร่วมกันภายใต้สถานๆ หนึ่ง โดยมการ
พูดคุย หรือกิจกรรมร่วมกันภายในสถานที่แห่งนั้นองค์ประกอบในการสร้าง Communityในเว็บไซต์ขอคุณ



1.เว็บบอร์ด (Web Board)
2. พิ๊กโพสต์(Pic Post)
3. ไดอารี่ หรือ บล็อก (Diary or Blog)
4. ข่าว (News) + Web Board
5. รวมลิงค์ เว็บไซต์
6. ห้องแช๊ตรูม (Chat Room)C ommerce (การค้าขาย)


การหาสินค้ามาขายผ่านหน้าเว็บ
-การซื้อสินค้ามาเก็บไว้
-การน าสินค้าจากแคตตาล๊อกมาขาย (จับเสือมือเปล่า)
-การน าสินค้าจากพันธมิตรมาขายwww.thaisecondhand.com/promotion

Commerce หรือ การท าการค้าขายผ่านเว็บไซต์ ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้กับเว็บไซต์ได้ เช่นเว็บข้อมูล (Content), เว็บโปรแกรมมิ่ง, เว็บ Community, หรือ เว็บโป๊ก็สามารถท า E-Commerce C ustomization (การปรับให้เหมาะสม)

C - Customization คือ รูปแบบการให้บริการที่สามารถปรับแต่งการใช้งานให้มีความเหมาะสมกับผู้ใช้บริการภาย ในเว็บไซต์
•การปรับแต่งข้อมูลเพื่อการบริการ (Service)
http://my.MSN.com
• การปรับแต่งสินค้าเพื่อการค้า (Commerce)
www.Nike.com
• การเก็บข้อมูลของลูกค้าเพื่อการน าเสนอข้อมูล
(Information) www.Amazon.com




Customization (การปรับให้เหมาะสม)Communication, Channel (การสื่อสารและช่องทาง)











Communication คือ ช่องทางในการสื่อสารและติดต่อกับผู้ใช้บริการในเว็บไซต์ของคุณ จริงๆ แล้ว
สิ่งที่คุณมีอยู่ในเว็บไซต์คุณคือ ข้อมูล (Content)หรือ บริการ (Service) ซึ่งเป็นเพียงแค่ “ช่องทาง”ในการ “เข้าถึง” ข้อมูลหรือบริการเหล่านั้นCnvenience (สะดวกสบาย)








การใช้งานง่าย (Usability)
1. "ดู" ง่าย
• การวางรูปแบบ (Layout)
• รูปภาพ และไอค่อน ( Image & Icon)
• ขนาดตัวอักษร (Font) และการจัดหน้า
• การออกแบบระบบน าทางที่ดี (Navigation)
• มีSite map ในเว็บ



2. "เรียนรู้" ได้ง่าย (easy to learn)
3. "จดจ า" วิธีการใช้งานได้ง่าย
4. "เข้าถึง" ได้ง่าย
5. ใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ (efficient to use)
6. การเจอปัญหาและการแก้ไข (Help & FAQ)

Business Computer Department Chiangmai Rajabhat University
 Mr. Chayaphat Phumchune