-E-marketing : Achieving marketing objectives through useof electronic communications technology.
-E-Marketing ย่อมาจากค าว่า Electronic Marketing หรือเรียกว่า “การตลาดอิเล็กทรอนิกส์” หมายถึงการด าเนินกิจกรรมทางการตลาดโดยใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่ทันสมัยและสะดวกต่อ
การใช้งาน เข้ามาเป็นสื่อกลาง ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์หรือพีดีเอ ที่ถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันด้วยอินเทอร์เน็ต มาผสมผสานกับวิธีการทางการตลาด การด าเนินกิจกรรมทางการตลาด อย่างลงตัวกับ
ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายขององค์กรอย่างแท้จริง
คุณลักษณะเฉพาะของ e-Marketing
-เป็นการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายในลักษณะเฉพาะเจาะจง (Niche Market)
-เป็นลักษณะเป็นการสื่อสารแบบ 2 ทาง (2 Way Communication)
-เป็นรูปแบบการตลาดแบบตัวต่อตัว (One to One Marketing หรือ Personalize Marketing) ที่ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายสามารถก าหนดรูปแบบสินค้าและบริการได้ตามความต้องการของตนเอง
-มีการกระจายไปยังกลุ่มผู้บริโภค (Dispersion of Consumer)
-เป็นกิจกรรมที่นักการตลาดสามารถสื่อสารไปยังทั่วทุกมุมโลก ตลอด 24 ชั่วโมง (24 Business Hours)
-สามารถติดต่อสื่อสาร โต้ตอบ ปฏิสัมพันธ์ได้อย่างรวดเร็ว (Quick Response)
-มีต้นทุนต่ าแต่ได้ประสิทธิผล สามารถวัดผลได้ทันที(Low Cost and Efficiency)
-มีความสัมพันธ์กับกิจกรรมการตลาดแบบดั้งเดิม (Relate to Traditional Marketing)
-มีการตัดสินใจในการซื้อจากข้อมูลข่าวสารที่ได้รับ (Purchase by Information)
E-Marketing เป็นส่วนผสมแนวความคิดทางการตลาด และทางเทคนิค รวมเข้าไว้ด้วยกันทั้งด้าน การออกแบบ (Design), การพัฒนา (Development), การโฆษณาและการขาย (Advertising and Sales) เป็นต้น (ตัวอย่างกิจกรรมได้แก่Search Engine Marketing, E-mail Marketing, Affiliate Marketing, Viral Marketing ฯลฯ) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ธุรกิจและลูกค้า เนื่องจากระบบทางอิเล็กทรอนิกส์สามารถสนับสนุนการร้องขอข้อมูลของลูกค้า การจัดเก็บประวัติ และพฤติกรรมของลูกค้าเอาไว้ รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ส่งผลต่อ การเพิ่มและรักษาฐานลูกค้า (Customer Acquisition and Retention) และอ านวยประโยชน์ในการประกอบธุรกิจอย่างครบถ้วน
-ในขณะที่การตลาดแบบดั้งเดิม (Traditional Marketing) จะมีรูปแบบที่แตกต่างจาก E-Marketing อย่างชัดเจน โดยการตลาดแบบดั้งเดิมนั้นจะมีกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย จะไม่เน้นท ากับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง และมักจะใช้วิธี การแบ่งส่วนตลาด (Marketing Segmentation) โดยใช้เกณฑ์สภาพประชากรศาสตร์ หรือสภาพภูมิศาสตร์ และสามารถครอบคลุมได้บางพื้นที่ ในขณะที่ถ้าเป็นE-Marketing จะสามารถครอบคลุมได้ทั่วโลกเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้ธุรกิจต่างๆ จึงได้ให้ความสนใจกับอินเทอร์เน็ตเป็นอย่างมาก รวมถึงได้มีการน าเอาแนวคิดE-Marketing มาประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลาย เพื่อท าการตลาดออนไลน์ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
Distinguishing between e-marketing, e-business and e-commerce
- Electronic business has some degree of overlap with electronic marketing. From the discussion of the marketing concept above we can reject this since both e-business and e-marketing are broad topics.
- Electronic business is broadly equivalent to electronic marketing. Thisis perhaps more realistic, and indeed some marketers would considere-business and e-marketing to be synonymous.
- Electronic marketing is a subset of electronic business. It can beargued that this is most realistic since e-marketing is essentially customer-oriented and it has less emphasis on supply chain and procurement activities in comparison with e-business.
ความแตกต่างกันระหว่าง e-Marketing, e-Business และ e-Commerce
-E-Marketing คือรูปแบบการท าการตลาดในรูปแบบหนึ่งโดยใช้เครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องมือ
ดิจิตอลเข้ามาช่วยในการท าการตลาด แต่ในความหมายส าหรับ E-Business หรือ Electronic Business
นั้นจะมีความหมายที่ใกล้เคียงกับค าว่า E-Commerce หรือ Electronic Commerce มากกว่า เพียงแต่ว่าความหมายของ E-Business จะมีขอบเขตที่กว้างกว่า โดยหมายถึงการท ากิจกรรมในทุก ๆ ขั้นตอนของกระบวนการธุรกิจผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือเรียกว่า “ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์” ทั้งการท าการค้าการซื้อการ
ขาย การติดต่อประสานงาน งานธุรการต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในส านักงาน และการท าธุรกรรอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นกระบวนการในการด าเนินการทางธุรกิจที่อาศัยระบบสารสนเทศทางคอมพิวเตอร์มาใช้ในการดำเนินงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจ โดยมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม (Added Value)
ตลอดกิจกรรมทางธุรกิจ (Value Chain) และลดขั้นตอนของการที่ต้องอาศัยแรงงานคน (Manual Process) มาใช้แรงงานจากเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ (Computerized Process)แทน รวมถึงช่วยให้การดำเนินงานภายใน ภายนอก มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และยังเป็นการสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้ามาขึ้น
อีกด้วย ตัวอย่างเช่นการควบคุมสต๊อคและการช าระเงินให้เป็นระบบอัตโนมัติด าเนินการได้รวดเร็ว และทำได้ง่าย ลักษณะการน า E-Business มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจได้แก่
ลักษณะการน า E-Business มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจได้แก่
-การเชื่อมต่อระหว่างกัน ภายในองค์กร (Intranet)
-การเชื่อมต่อระหว่างกัน กับภายนอกองค์กร (Extranet)
-การเชื่อมต่อระหว่างกัน กับลูกค้าทั่วโลก (Internet)
Distinguishing between e-marketing, e-business and e-commerce
ประโยชน์ของ e-Marketing
นักการตลาดชื่อ Smith and Chaffey ได้กล่าวถึงประโยชน์จากการน าเอาเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตมาช่วยสนับสนุนการท าการตลาดและก่อให้เกิดผลสำเร็จตามเป้าหมาย โดยมองว่า E-Marketing เป็นกระบวนการในการจัดการทางการตลาด โดยมีการเน้นย้ าถึงการให้ความส าคัญแก่ลูกค้าเป็นหลัก ในขณะที่
แสดงถึงการเชื่อมโยงการท างานทางธุรกิจในอันที่จะช่วยสร้างความสำเร็จในผลก าไรให้กับธุรกิจ ซึ่งสามารถแบ่งกระบวนการในการจัดการทางการตลาดได้ดังนี้
กระบวนการในการจัดการทางการตลาดของ e-Marketing การจำแนกแยกแยะ (Identifying) สามารทำการจำแนกแยกแยะได้ว่าลูกค้าเป็นใคร มีความต้องการอย่างไร อยู่ที่ไหน และมีพฤติกรรมในการเลือกซื้อสินค้าอย่างไร โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย
-การทำนายความคาดหวังของลูกค้า (Anticipating) เนื่องจากความสามารถของอินเทอร์เน็ตนั้นช่วยเพิ่มช่องทางให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูล และสามารถซื้อสินค้าได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยการเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าถือเป็นหัวใจส าคัญในการทำ E-Marketing ตัวอย่างเช่นเว็บไซต์สายการบินต้นทุนต่ า easy Jet (http://www.easyjet.com) มีส่วนสนับสนุนท าให้มีรายได้จากการผ่านออนไลน์กว่า 90%
-สนองความพอใจของลูกค้า (Satisfying) ถือเป็นความส าเร็จในการท า E-Marketing ในการ
สร้างความพอใจให้แก่ลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ การเพิ่มขึ้นของลูกค้านั้นอาจจะมาจาก การ
ใช้งานง่าย การสนับสนุนการให้บริการแก่ลูกค้า เป็นต้น
ประโยชน์ของการนำ e-Marketing มาใช้ 5Ss’นอกจากนี้ Smith and Chaffey ยังได้กล่าวถึง 5Ss’ ซึ่งเป็นประโยชน์ที่ได้รับจากการน าเอากลยุทธ์การตลาดออนไลน์มาใช้ได้แก่
-การขาย (Sell) ช่วยท าให้ยอดขายเพิ่มขึ้นจากการท าการตลาดออนไลน์ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือที่ช่วย
ให้ท าให้ลูกค้ารู้จักและเกิดความทรงจ า (Acquisition and Retention tools) ในสินค้าบริการ
-การบริการ (Serve) การสร้างประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นให้แก่ลูกค้า จากการใช้บริการผ่านออนไลน์ไม่ว่า
จะเป็นการให้สิทธิพิเศษต่างๆ เป็นต้น)
-การพูดคุย (Speak) การสร้างความใกล้ชิดกับลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยสามารถสร้างแบบสนทนาการ
โต้ตอบกันได้ระหว่างกันได้ (Dialogue) ท าให้ลูกค้าสามารถเข้ามาสอบถาม ตลอดจนสามารถ
ส ารวจความคิดเห็น ความต้องการของลูกค้า ลูกค้ามีความสนใจในเรื่องใดเป็นพิเศษ
ประโยชน์ของการน า e-Marketing มาใช้ 5Ss’ (ต่อ)
-ประหยัด (Save) การสร้างความประหยัดเพิ่มขึ้นจากงบประมาณการพิมพ์กระดาษ โดยสามารถ
ใช้วิธีการส่งจดหมายข่าว E-Newsletter ไปยังลูกค้าแทนการส่งจดหมายแบบดั้งเดิม
-การประกาศ (Sizzle) การประกาศสัญลักษณ์ ตราสินค้าผ่านออนไลน์ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างสินค้า
ของเราให้เป็นที่รู้จัก มีความคุ้นเคยมากยิ่งขึ้น
การท า E-Marketing ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ธุรกิจในหลายๆ ประการ ทั้งในแง่ของกลุ่มผู้ประกอบการ
เจ้าของสินค้า และในแง่ของกลุ่มลูกค้า ท าให้ธุรกิจด าเนินไปได้อย่างรวดเร็ว และด้วยต้นทุนที่ต่ า
หลักการของ e-Marketing
-การตลาดยุค E เน้นการใช้Mass Customization มากกว่า Mass Marketing เพราะลูกค้าทุก
คนมีสิทธิ์เลือกเว็บไซต์ต่างๆ ทั่วโลกเพื่อหาสินค้าที่ตนเองต้องการ เพราะฉะนั้น เราต้องเน้น
ระบบที่สนองตอบความต้องการของลูกค้าแต่ละคนเป็นหลัก ทั้งนี้เราจักต้องสร้าง ระบบ
โปรแกรมอัตโนมัติขึ้นมาตอบสนองความต้องการดังกล่าว โดยให้แต่ละคนสามารถเลือก
ทางเลือกที่สนองความต้องการได้ด้วยตนเอง
- การแบ่งส่วนตลาดต้องเป็นแบบ Micro Segmentation หรือ One-to-One Segmentation
หมายถึง หนึ่งส่วนตลาดคือ ลูกค้าหนึ่งคน เพราะในตลาดบนเว็บถือว่าลูกค้า เป็นใหญ่ เนื่องจาก
มีสิทธิ์ที่เลือกซื้อสินค้าใครก็ได้ ยกเว้นแต่เราเป็นเพียงรายเดียวที่มีอยู่ใน ตลาด ฉะนั้นการ
พิจารณาข้อมูลความต้องการ หรือพฤติกรรมของลูกค้าทุกคน โดยอาศัยระบบฐานข้อมูลที่
ตรวจจับพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละราย ได้ถือเป็นปัจจัยแห่งความส าเร็จที่ส าคัญมาก หรือในแง่
ของการจัดการแล้วเราเรียกว่า CRM หรือ Customer Relationship Management นั่นเอง
เพราะนี่จะท าให้เราทราบว่า ใครคือลูกค้าประจำ
-การวางต าแหน่งสินค้า (Positioning) ต้องเป็นไปตามความต้องการแต่ละบุคคล หรือMigrationing การวางต าแหน่งสินค้าเพื่อให้ลูกค้ารับรู้นั้น ต้องวางตามความต้องการของแต่ละบุคคล และหากความต้องการนั้นเปลี่ยนไป ระบบก็ต้องเคลื่อนต าแหน่งของการวางนั้นไปสนองตอบต่อความต้องการใหม่ด้วย
-ให้เราเป็นหนึ่งในเว็บที่ลูกค้าจ าได้การ สร้างความจดจ าเพื่อให้จ าเว็บไซต์เราการจดชื่อโดเมนที่ทำให้จดจ าง่าย หรือมีความหมายที่สอดคล้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์จึงเป็นสิ่งที่จ าเป็นมาก
-ต้องรู้ ความต้องการลูกค้าล่วงหน้า จ าเป็นจักต้องติดตามพฤติกรรมการซื้อของกลุ่มเป้าหมายโดยตลอดต้องรู้ ความต้องการลูกค้าล่วงหน้า จ าเป็นจักต้องติดตามพฤติกรรมการซื้อของกลุ่มเป้หมายโดยตลอด
-ต้องปรับที่ตัวสินค้าและราคาเป็นหลัก สินค้าถือเป็นหัวใจที่ส าคัญที่สุด จ าเป็นอย่างยิ่งที่จักต้องเทียบกับคุณค่าของสินค้า และคู่แข่งเสมอว่า ใครสนองตอบต่อความต้องการได้ดีกว่ากัน
-ต้องให้ลูกค้าตกแต่งสินค้าตามความต้องการได้โดยอัตโนมัติ (Customization & Personalization) วิธีที่ให้ลูกค้าได้รับ คุณค่า หรือสนองความต้องการได้ดีที่สุด ก็คือ การให้ลูกค้าได้เลือกหรือตกแต่งสินค้าเอรวมทั้งการคำนวณราคาด้วย ฉะนั้น การให้ Options ให้ลูกค้าได้เลือกมากที่สุด จึงเป็นสิ่งที่ส าคัญมาก
เครื่องมือที่ส าคัญของการตลาดอิเล็กทรอนิกส์
- Digital advertising
- Raid Marketing
- e-mail Marketing
- Video Marketing
- Blogging
-Mobile marketing
- Pay Per Click
- Search Engine Optimization
- Social Media Marketing
ส่วนผสมทางการตลาดอิเล็กทรอนิกส์
-ผลิตภัณฑ์(Product)
-ราคา (Price)
-สถานที่ (Place)
-การส่งเสริมการขาย (Promotion)
-เครือข่ายสังคม (Social Network)
-การขายบนเว็บไซต์
-การบริการลูกค้า
-ระบบป้องกันความปลอดภัย
-ระบบฐานข้อมูลลูกค้าเพื่อน ามาใช้ในการบริการ (Personalization Service)
e-Marketing Planning the SOSTAC™ framework developed by Paul Smith
(1999) ซึ่งสามารถสรุปขั้นตอนที่เกี่ยวข้องได้ 6 ขั้นตอนด้วยกัน คือ
-Situation – where are we now?
- Objectives – where do we want to be?
- Strategy – how do we get there?
- Tactics – how exactly do we get there?
- Action – what is our plan?
- Control – did we get there?
e-Marketing Planning
-A e-marketing plan is needed to detail the specific objectives of the e-business strategy through marketing activitie
e-MarketingPlanning
7 ขั้นตอนส าหรับการท า e-Marketing
-ขั้น 1 ก าหนดวัตถุประสงค์(Set Objective)การจัดทำเว็บไซต์ต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์หลักของธุรกิจ
ขั้น 1 กำหนดวัตถุประสงค์ (Set Objective) เพื่อสร้างยอดขาย (Sales and Acquisition) การนำ e-Marketing มาใช้เพื่อให้เกิดผลกระทบในการเพิ่มยอดขายโดยตรงกับธุรกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นขณะตัดสินใจซื้อ โดยกระตุ้นไปยังกลุ่มลูกค้าที่คาดหวังให้เกิดการทดลองซื้อ และเกิดการซื้อซ้ าส าหรับลูกค้าเดิม การสร้างยอดขาย อาจทำได้โดยวิธีการขายสินค้าผ่านออนไลน์วิธีการประชาสัมพันธ์เพื่อให้เกิดการซื้อในอนาคต ผลที่ได้เช่น เสริมสร้างความเป็นผู้นำทางการตลาด , ส่งเสริมยอดขายและสนับสนุนการขาย, เพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด, สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้า, สร้าความสัมพันธ์กับลูกค้า และเพิ่มการเยี่ยมชมให้กับเว็บไซต์ของเรา
ขั้น 1 ก าหนดวัตถุประสงค์ (Set Objective)
-เพื่อสร้างภาพลักษณ์(Image)
ลักษณะภาพลักษณ์ที่ดีมีดังนี้
I. สร้างขึ้นมาให้ดูง่าย จดจ าง่าย
II. ดูมีความน่าเชื่อถือ ก่อให้เกิดความประทับใจ
III. เป็นรูปธรรมและมองเห็นได้อย่างชัดเจน
IV. อยู่ระหว่างความคาดหวังและความเป็นจริง ควรเป็นไปในเชิงบวก
V. เป็นสินทรัพย์ของธุรกิจ
ดังนั้นการน า e-Marketing มาใช้เพื่อช่วยเสริมสร้างพัฒนาภาพลักษณ์ ตราสินค้าได้เป็นอย่างดี
โดยการส่งข้อความเชิงบวกในสินค้าและบริการถึงกลุ่มเป้าหมาย หรือสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
ในด้านความรับผิดชอบที่ควรมีต่อลูกค้า
ขั้น 1 กำหนดวัตถุประสงค์ (Set Objective)
-ให้บริการและเพื่อสนับสนุนการขาย (Service and Support)
เป็นช่องทางส าหรับบริการหลังการขายแก่ลูกค้า เน้นในด้านการให้บริการภายในเว็บไซต์ โดยสร้าง
การติดต่อสื่อสารขึ้นระหว่างกัน เช่น การติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย หรือการติดต่อ
ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ซื้อด้วยกันเอง
-การสร้างตราสินค้าให้เป็นที่รู้จัก (Brand Awareness)
โดยการท าการส่งข้อความด้วยเครื่องมือทางการตลาดออนไลน์ใด ๆ ถึงกลุ่มเป้าหมายเพื่อให้เกิดการรับรู้ (Awareness) ท าให้ลูกค้าจดจ าได้ (Recognition) และระลึกถึงเป็นชื่อแรก (Recall)เมื่อต้องการจะซื้อสินค้า ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ท าให้ลูกค้ารับรู้ถึงคุณลักษณะ คุณสมบัติ และประโยชน์ของสินค้า
-การรักษาฐานลูกค้าปัจจุบัน (Customer Retention)
เป็นความพยายามในการสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าซึ่งยังผลให้ธุรกิจสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการรักษาความพอใจให้คงอยู่ ซึ่งกระบวนการนี้มีความเกี่ยวเนื่องกับการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relation Management: CRM)
-การสร้างความจงรักภักดีในตราสินค้า (Brand Royalty)
คือการที่ลูกค้ารักและเกิดความศรัทธาในตราสินค้าของธุรกิจและยากที่จะท าให้ลูกค้าเกิดการเปลี่ยนใจที่จะไปซื้อสินค้าอื่นแทน ซึ่งการสร้างความจงรักภักดีจะส่งผลต่อการลดต้นทุนทางการตลาดในระยะยาว สร้างความไว้วางใจให้แก่ลูกค้า
ขั้น 2 การก าหนดกลุ่มเป้าหมายด้วยวิธี 5W+1H
-Who(ใคร) ลูกค้าคือใคร มีอายุประมาณเท่าไร เพศอะไร ระดับการศึกษาเป็นอย่างไร ระดับรายได้หรือฐานเงินเดือนอยู่ที่เท่าใด ประกอบอาชีพอะไร รสนิยมส่วนตัวเป็นอย่างไร ฯลฯข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้สามารถระบุกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนเพื่อวางแผนการตลาดหรือสร้างสินค้าหรือบริการที่ตอบสนองต่อพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายได้ถูกต้อง
-What(อะไร) อะไรคือสิ่งที่ลูกค้าต้องการ เพื่อทราบอุปสงค์(demand) และความปรารถนา
ภายในใจ (willing) ของลูกค้าว่า สินค้าหรือบริการรูปแบบไหนที่ลูกค้าต้องการและอะไรที่จะ
สร้างความแตกต่างให้กับสินค้าหรือบริการจากคู่แข่งขันได้
-Where (ที่ไหน) ลูกค้าอยู่ที่ไหน เป็นค าถามเชิงภูมิศาสตร์เพื่อทราบถึงสภาพแวดล้อม
วัฒนธรรม ภาษา และเชื้อชาติของกลุ่มเป้าหมายว่าเป็นเช่นไร เพื่อให้ทราบว่าจะหาลูกค้าได้
จากไหนบ้าง และที่ไหนคือที่ๆลูกค้ามักจะไปอยู่และสามารถสื่อสารกับลูกค้าได้ด้วยวิธีอะไร
-When (เมื่อไร) เมื่อไรที่ลูกค้าต้องการเรา เราควรทราบถึงความต้องการว่าในช่วงเวลาไหน ที่
ลูกค้าต้องการซื้อหรือใช้บริการ และต้องการบ่อยเพียงใด ซึ่งจะช่วยให้เราก าหนดและวาง
แผนการพยากรณ์ต่าง ๆ ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างถูกต้อง
-Why (ท าไม) ท าไมลูกค้าต้องมาที่เรา เป็นค าถามเชิงเหตุผลว่า เหตุใดลูกค้าถึงได้เข้ามาซื้อ
สินค้าจากเรา อาจเป็นเงื่อนไขในเรื่องของราคาที่ถูกกว่าคู่แข่ง หรือสินค้ามีคุณภาพมากกว่า
ความสะดวกสบาย บริการหลังการขายที่ดีกว่า
-How (อย่างไร) เราสามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างไร เป็นค าถามเชิงวิธีการ หรือหนทางในการ
รักษาฐานลูกค้าเก่า หรือเพิ่มยอดขายจากลูกค้ารายใหม่ ซึ่งควรจะมีการวางแผนและก าหนด
วิธีการที่จะเข้าถึงลูกค้าได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
ขั้น 3 วางแผนงบประมาณ มีเงินเท่าไร จะใช้เท่าไรเป็นการประเมินถึงจ านวนเงินเพื่อใช้ในการทำงาน ว่ามีเท่าใด ซึ่งถือเป็นค่าใช้จ่ายทางบัญชีที่เจ้าของธุรกิจต้องทราบ ว่าจะด าเนินธุรกิจให้ได้ตามแผนต้องใช้เงินลงทุนแต่ละส่วนเป็นเงินเท่าใดและได้มาจากแหล่งใด หลักในการท างบฯ มีด้วยกันหลายวิธีเช่น
# ท างบประมาณตามสัดส่วนจากการขาย
# ท างบประมาณตามสภาพตลาด
# ท างบประมาณตามวัตถุประสงค์
# ท างบประมาณตามเงินทุน
ขั้น 4 ก าหนดแนวความคิดและรูปแบบ หาจุดขาย ลูกเล่น
เป็นการสร้างแนวความคิดที่แปลกใหม่ น่าสนใจให้กับเว็บไซต์ โดยเป็นการสร้างจุดเด่นหรือจุดที่แตกต่างกับเว็บอื่น ๆ ท าให้เกิดเอกลักษณ์ของเว็บไซต์เรา ซึ่งเป็นปัจจัยที่ท าให้ผู้เยี่ยมชมจดจำเว็บไซต์ได้อาจจะเป็นรูปแบบการบริการที่ไม่เหมือนใคร การใช้ลักษณะการออกแบบเว็บที่โดดเด่นหรือเนื้อหาในเว็บท าให้ผู้อ่านสนใจ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องยืนอยู่บนเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่เราตั้งใจไว้เป็นสำคัญ
ขั้น 5 การวางแผนกลยุทธ์ และสื่อ ช่วงเวลาเป็นการเลือกสรรวิธีหรือกลยุทธ์ที่ใช้สำหรับการทำกาตลาดออนไลน์ ว่าควรเลือกใช้สื่อรูปแบบใดดีโดยดูที่วัตถุประสงค์เป็นหลัก เช่น การโฆษณาผ่านหน้าเว็บในรูปแบบต่าง ๆ , การตลาดผ่านระบบค้นหา, การตลาดผ่านอีเมล์, การตลาดผ่านเว็บบล็อกนอกจากนั้นอาจจะมีการผสมผสานด้วยสื่อในรูปแบบ offline หรือสื่อที่ไม่ใช่สื่อออนไลน์ เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการท าการตลาดร่วมกัน เช่น การโฆษณาบนวิทยุโทรทัศน์ บนสื่อสิ่งพิมพ์เป็นต้น โดยน าสื่อหรือกลยุทธ์รูปแบบอื่นไปร่วมในแผนตามความเหมาะสม ควรมีการวางแผน“แผนการใช้สื่อ” เพื่อวางเป้าหมายในการใช้สื่อแต่ละช่วงเวลาได้เหมาะสมและเป็นไปในทิศทางเดียวกันตลอดทั้งปี
ขั้น 6 การด าเนินการตามแผนที่ได้วางไว้
เทคนิคการเตรียมตัวก่อนการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ดังนี้
I. เช็คว่าพร้อมหรือยัง? ด้วยกลยุทธ์6C
II. มีเอกลักษณ์หรือจุดเด่นของเว็บไซต์ เช่น แนวความคิดพื้นฐานของตัวเว็บไซต์ที่โดดเด่น มีความสอดคล้องกับตราสินค้าหรือบริการหลักของธุรกิจ การออกแบบเว็บไซต์เช่นสีสัน โลโก้การวางรูปแบบ และเนื้อหามีความเป็นเอกลักษณ์
III. การสร้างช่องทางการเก็บข้อมูลผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ เช่น การลงทะเบียนสมาชิก แบบสอบถามออนไลน์ บริการการรับข่าวสารทางอีเมล์ เป็นต้น
ขั้น 7 วัดผลและประเมินผลลัพธ์เป็นวิธีการวัดผลความส าเร็จจากการท าแผนการตลาดว่ามีผลลัพธ์เช่นไร การด าเนินการทางการตลาดประสบความส าเร็จตามที่ก าหนดมากน้อยเพียงใด โดยประเมินจากการเติบโตของยอดขาย ส่วนแบ่งทางการตลาด ภาพลักษณ์ที่ลูกค้ามีต่อสินค้าหรือบริการ ก าไร ฯลฯ เพื่อเป็นข้อมูลส าคัญในการตัดสินใจการด าเนินตามแผนธุรกิจต่อไปตัวอย่างเครื่องมือวัดผลเช่น การวัดสถิติการเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์สถิติการจัดอันดับบนเครื่องมือ
ค้นหา (Search Engine) เป็นต้น
6 Cs กับความสำเร็จของการทำเว็บ
1. C ontent (ข้อมูล)
2. C ommunity (ชุมชน,สังคม)
3. C ommerce (การค้าขาย)
4. C ustomization (การปรับให้เหมาะสม)
5. C ommunication, Channel (การสื่อสารและช่องทาง)
6. C onvenience (ความสะดวกสบาย)C ontent (ข้อมูล)
-ข้อมูลใหม่สดเสมอ
-ข้อมูลมีความถูกต้อง
-อ้างอิงถึงแหล่งที่มาของข้อมูล
การจัดการและบริหารข้อมูล (Content Management )
1. เว็บไซต์ที่มีข้อมูลไม่มีการเปลี่ยนแปลงบ่อย (Static Content)
2. เว็บไซต์ที่เปลี่ยนแปลงข้อมูลอยู่เสมอ (Dynamic Content)C ontent (ข้อมูล)
-รูปแบบของการหาข้อมูลมาไว้ในเว็บไซต์มี 3 รูปแบบใหญ่ๆ ได้แก่
-ทางผู้จัดท าเว็บไซต์เป็นคนผลิตข้อมูลขึ้นมา (Self Feeding)
-ข้อมูลมากจากผู้เข้ามาใช้บริการ (User Feeding)
-ข้อมูลมากจากพันธมิตร (Partner Content)
Community (ชุมชน,สังคม)
Community คือ การรวมตัวของกลุ่มคนจ านวนหนึ่ง ที่อยู่ร่วมกันภายใต้สถานๆ หนึ่ง โดยมการ
พูดคุย หรือกิจกรรมร่วมกันภายในสถานที่แห่งนั้นองค์ประกอบในการสร้าง Communityในเว็บไซต์ขอคุณ
1.เว็บบอร์ด (Web Board)
2. พิ๊กโพสต์(Pic Post)
3. ไดอารี่ หรือ บล็อก (Diary or Blog)
4. ข่าว (News) + Web Board
5. รวมลิงค์ เว็บไซต์
6. ห้องแช๊ตรูม (Chat Room)C ommerce (การค้าขาย)
การหาสินค้ามาขายผ่านหน้าเว็บ
-การซื้อสินค้ามาเก็บไว้
-การน าสินค้าจากแคตตาล๊อกมาขาย (จับเสือมือเปล่า)
-การน าสินค้าจากพันธมิตรมาขายwww.thaisecondhand.com/promotion
Commerce หรือ การท าการค้าขายผ่านเว็บไซต์ ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้กับเว็บไซต์ได้ เช่นเว็บข้อมูล (Content), เว็บโปรแกรมมิ่ง, เว็บ Community, หรือ เว็บโป๊ก็สามารถท า E-Commerce C ustomization (การปรับให้เหมาะสม)
C - Customization คือ รูปแบบการให้บริการที่สามารถปรับแต่งการใช้งานให้มีความเหมาะสมกับผู้ใช้บริการภาย ในเว็บไซต์
•การปรับแต่งข้อมูลเพื่อการบริการ (Service)
http://my.MSN.com
• การปรับแต่งสินค้าเพื่อการค้า (Commerce)
www.Nike.com
• การเก็บข้อมูลของลูกค้าเพื่อการน าเสนอข้อมูล
(Information) www.Amazon.com
Customization (การปรับให้เหมาะสม)Communication, Channel (การสื่อสารและช่องทาง)
Communication คือ ช่องทางในการสื่อสารและติดต่อกับผู้ใช้บริการในเว็บไซต์ของคุณ จริงๆ แล้ว
สิ่งที่คุณมีอยู่ในเว็บไซต์คุณคือ ข้อมูล (Content)หรือ บริการ (Service) ซึ่งเป็นเพียงแค่ “ช่องทาง”ในการ “เข้าถึง” ข้อมูลหรือบริการเหล่านั้นCnvenience (สะดวกสบาย)
การใช้งานง่าย (Usability)
1. "ดู" ง่าย
• การวางรูปแบบ (Layout)
• รูปภาพ และไอค่อน ( Image & Icon)
• ขนาดตัวอักษร (Font) และการจัดหน้า
• การออกแบบระบบน าทางที่ดี (Navigation)
• มีSite map ในเว็บ
2. "เรียนรู้" ได้ง่าย (easy to learn)
3. "จดจ า" วิธีการใช้งานได้ง่าย
4. "เข้าถึง" ได้ง่าย
5. ใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ (efficient to use)
6. การเจอปัญหาและการแก้ไข (Help & FAQ)
Business Computer Department Chiangmai Rajabhat University
Mr. Chayaphat Phumchune
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น